สรุปโปรเจค The Merge ของ Ethereum กับเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

สรุปโปรเจค The Merge ของ Ethereum กับเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

“The Merge” เป็นโปรเจคที่จะพัฒนาระบบของ Ethereum นำไปสู่ระบบใหม่ที่ดีกว่าเดิมในแง่ของการทำธุรกรรม รวมถึงระบบบนบล็อกต่างๆ ของ Ethereum เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต แต่หลักๆ ที่จะมีปัญหาแน่นอนและสร้างความกังวลในช่วงนี้ก็คือ “เรื่องของการขุด” ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการตรวจสอบธุรกรรม

จากเดิมที่เราต้องใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์อย่างพวกการ์ดจอหรือเครื่องต่างๆ ในการขุด เมื่อเกิด The Merge ขึ้นก็กลายเป็นว่าเครื่องขุดของเราไร้ค่า ไม่สามารถทำอะไรต่อได้ เพราะมันจะเปลี่ยนเรื่องของการตรวจสอบธุรกรรมใหม่เป็น Proof Of Stake แทน เดียวเรามาพูดถึงกันเรื่อง The Merge กันหน่อยว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง แล้วคนที่ขุดเหรียญ ETH อยู่เครื่องขุดเราจะทิ้งดีหรือไม่

The Merge คืออะไร ?

การเกิด The Merge ขึ้นต้องบอกเลยว่ามันจะไม่มีอะไรเลยถ้าทุกคนมีแนวคิดที่เหมือนกันคือยอมรับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไปสู่รูปแบบใหม่ก็คือจาก Proof Of Work เป็น Proof Of Stake แต่ธรรมดาที่มนุษย์มีความแตกต่างกันจึงทำให้การเกิด The Merge ครั้งนี้ได้แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่มคือ คนที่ยังต้องการคงไว้ซึ่งระบบเดิมก็คือการขุด และคนที่ต้องการเปลี่ยนไปสู่ยุคใหม่ตามที่ Ethereum ได้ประกาศอัพเดทออกไป

แต่ทีนี้พอการอัพเดทเกิดขึ้นและมีกลุ่มคนเป็น 2 กลุ่ม จึงไม่สามารถคงระบบเดิมไว้ได้ จึงต้องมีการ “แยกระบบ” หรือเรียกว่า Hard Folk ออกมาใช้งาน โดยปัจจุบันก็มีการตั้งกลุ่ม EthereumPoW ออกมาเรียบร้อยแล้ว

จุดมุ่งหมายของ The Merge

The Merge เป็นโปรเจคที่จะมีการพัฒนาในเรื่องของการทำธุรกรรมที่เดิมรองรับได้ราวๆ 30 รายการต่อวินาที ให้กลายเป็น 100,000 ครั้งต่อวินาที โดยจะมีการทำงานร่วมกับ “Beacon Chain” ที่จะทำให้การทำธุรกรรมมีความเร็วมากยิ่งขึ้นด้วย และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องดังกล่าวก็จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบกลไก “ทามฉันติ” ด้วย จากเดิมคือ Proof Of Work กลายเป็น Proof Of Stake แทน

Proof Of Stake คืออะไร

Proof Of Stake คือการตรวจสอบธุรกรรมรูปแบบหนึ่ง โดยจะเป็นการที่เราต้อง Stake เหรียญไว้ในระบบหรือวางทรัพย์สินค้ำประกันเอาไว้เพื่อให้เราได้รับเลือกสิทธิ์ในการได้ตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้น โดยผู้ตรวจสอบนั้นจะมีหน้าที่ในการสร้างจากนั้นก็จะส่ง Block ที่สร้างไปในเครือข่าย และเมื่อทุกคนยอมรับแล้ว Block ดังกล่าวก็จะถูกสร้างขึ้นมาและได้รับรางวัลกลับมาเป็นเหรียญหรือค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมบนบล็อกนั้นๆ

จากเดิมระบบของ Ethereum นั้นจะมีการตรวจสอบธุรกรรมแบบ Proof Of Work กล่าวคือเป็นการใช้อุปกรณ์พวก Hardware หรือการ์ดจอในการตรวจจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อก โดยเหมือนเป็นการประมวลผลถอดรหัสทางคณิตศาสตร์และถ้าใครถอดรหัสได้สำเร็จก่อนก็จะได้เป็นผู้สร้างบล็อกและได้รับรางวัลไป

The Merge จะเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ?

จากประกาศของทีมผู้พัฒนาเคยทวิตเอาไว้ว่าจะเข้ามาในช่วงระยะเวลา 19 กันยายน 2565 นี้ แต่แอดคิดว่าจากที่ผ่านมาโปรเจคดังกล่าวได้เกิดโรคเลื่อนมาตลอด ต้องมาตามดูกันต่อว่าจะเป็นไปตามระยะเวลาที่ได้แจ้งไว้หรือไม่ แต่หลายคนก็มีความคาดหวังว่าจะไม่เลื่อนอีก เพราะได้รอคอยกันมากว่า 5 ปีแล้ว

สภาพของตลาด Ethereum จะเป็นอย่างไรหลังจากการอัพเกรด

หลังจากที่เกิด The Merge ขึ้นช่วงแรกๆ แอดว่าน่าจะมีความวุ่นวายและการขึ้นลงของราคาที่ไม่นิ่งอย่างมาก เพราะอาจจะเป็นช่วงที่คนแห่เข้าไปใช้งานและส่งผลต่อราคาทำให้ขึ้นหรือลงได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

นอกจากนี้อีกปัญหาที่ตามมาของ Ethereum คือ พอเปลี่ยนเรื่องกลไกทามฉันติอัตราการผลิตเหรียญก็ลดลงอย่างหนัก และมีการจ่ายค่าตอบแทนในการตรวจสอบธุรกรรมต่อวันเพียงน้อยนิดโดยลดลงไปเกือบ 90% ที่เห็นได้ชัดสุดๆ เลยก็คือหลังจากที่ Ethereum ได้เพิ่มระบบ “การเผาเหรียญ” เป็นการทำลายเหรียญและจะไม่สามารถใช้งานเหรียญนั้นได้อีก ทำให้ปริมาณของมันลดลงไปเรื่อยๆ ในอนาคต และน่าจะเกิดสภาวะ “เงินฝืด” บน Ethereum แน่ๆ ในอนาคต

นักขุดจะย้ายไปลงเหรียญไหนก่อนดีระหว่างนี้ ?

ในมุมของนักขุดตอนนี้ไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะสามารถทำกำไรจากเหรียญนี้ได้มั้ย เพราะพอมันเป็นอย่างงี้แล้วจากข่าวหลายๆ แหล่งก็ดูไม่น่าจะขุดต่อ เพราะต้องรอดูท่าทีว่ามันจะรอดหรือไม่ ทำให้ปัจจุบันนักขุดที่ใช้ Hardware ก็เริ่มมองหาเหรียญใหม่ๆ เพื่อทดแทนกับเหรียญ Ethereum แล้ว เดียวลองอ่านบทความนี้ดูว่ามีเหรียญไหนน่าสนใจได้บ้าง เผื่อคุณจะได้ไปดูรายละเอียดต่างๆ กันต่อ

ขุดเหรียญคริปโตตัวไหนดี ? กับ 7 เหรียญยอดนิยมในการขุด

อย่างไรก็ตามอย่าเพิ่งเชื่อแอดทั้งหมด แนะนำว่าให้ลองไปหาข้อมูลของเหรียญอื่นๆ ที่เราสนใจจะขุดก่อนดีกว่า เพราะใช่ว่าแนะนำไปหมายความว่ามันจะมีรายได้ดีไปทั้งหมด

สรุป

เรื่องนี้แอดคิดว่าเราคงต้องมาตามกันต่อว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะบางอย่างก็เป็นเรื่องที่ชุมชนคริปโต Ethereum ได้เอามาพูดคุยกันไว้หลายๆ Topic และมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมแอดจะมาเล่าให้ฟังเพิ่มเติม

ทำไม Cryptocurrency ถึงมีมูลค่าและคนให้การยอมรับ

ทำไม Cryptocurrency ถึงมีมูลค่าและคนให้การยอมรับ

Cryptocurrency ที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นตัวแรกของโลกก็คือ “Bitcoin” ที่กำเนิดขึ้นมาเพราะผู้สร้างอย่าง Satoshi Nakamoto ต้องการปฏิวัติการเงินของโลกให้สู่ยุคใหม่ โดยที่ในช่วงนั้นหรือแม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังถูกควบคุมโดยธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ คอยทำหน้าที่ในการดูแล รักษา การถ่ายโอนเงินให้กับบุคคลต่างๆ

ซึ่งต้นกำเนิด Bitcoin จะเข้ามาแทนที่เรื่องเหล่านี้กล่าวคือมันจะเป็นระบบทางการเงินที่ไม่มีใครสามารถควบคุมหรือเป็นเจ้าของเพียงคนเดียวได้ และเมื่อมันตัดตัวกลางอย่างผู้ควบคุมคือธนาคารกลางออกไป ทำให้ยากมากที่จะเกิดความเชื่อมั่น แต่ด้วยเครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ที่ทุกคนสามารถเข้ามาตรวจสอบได้ โดย Bitcoin จะใช้อัลกอริทึ่มแฮช SHA-256 จะมีการเข้ารหัสเอาไว้ เมื่อเกิดการทำธุรกรรมขึ้น ระบบจะทำการก็อปปี้ข้อมูลของบล็อกก่อนหน้าไปใส่บล็อกใหม่ และมีข้อมูลใหม่อยู่ในบล็อกใหม่ด้วยเช่นกัน รวมถึงจะมี Validator เข้ามาตรวจสอบความถูกต้องอีกที

ทำไม Bitcoin และ Cryptocurrency อื่นๆ ถึงมีมูลค่าล่ะ

มูลค่าของเหรียญ Cryptocurrency ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจาก “ความเชื่อ” เป็นปัจจัยหลักของราคา ยิ่งเหรียญไหนมีโปรเจคที่น่าเชื่อถือ ราคาของมันก็จะยิ่งเติบโตได้มากขึ้น นอกจากโปรเจคแล้วยังมีในด้านของการนำเหรียญนั้นๆ ไปใช้งานด้วย แต่ไม่ใช่ว่าพวกเหรียญ Cryptocurrency จะใช้ความเชื่อเป็นปัจจัยของราคาเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีสกุลเงินอย่าง USDC, BUSD ที่มีการผูกติดกับสกุลเงินดอลล่าร์เอาไว้ด้วย โดย 1 USD จะเท่ากับ 1 สกุลเงินนั้นๆ แทน

สกุลเงินที่ถูกผูกติดหรือถูกตรึงมูลค่าเอาไว้เราจะเรียกว่า “Stable Coin” ทำให้มูลค่าของมันคงที่ และไว้คอยเป็นตัวกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนกับเหรียญอื่นๆ หรือไว้สำหรับพักจากการเทรดหรือการขุดได้เช่นกัน 

อีกทั้งยังมีเรื่องของการใช้งานเหรียญด้วย อย่างบางเหรียญสามารถทำได้หากหลายอย่าง เช่น เอาไปแลกเล่น GameFi ต่างๆ ตามที่เกมนั้นกำหนดสกุลเงินเอาไว้ โดยเจ้าเหรียญต่างๆ ที่ใช้แลกเปลี่ยนก็จะนำไปซื้อไอเทมภายในเกมหรือเล่นเกมในโหมดพิเศษที่จำเป็นต้องใช้เหรียญ Cryptocurrency เล่น ถ้าคุณเป็นคนที่เล่นเกมอยู่แล้วลูปนี้จะทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าทำไม Crypto ถึงมีมูลค่า

นอกจากการแลกเหรียญไปเล่นเกมแล้ว การสร้าง Application บน Ethereum ก็จำเป็นต้องซื้อเหรียญ Ethereum ไว้เพื่อใช้สำหรับการจ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ ตามที่ได้กำหนด เมื่อเกิดการใช้งานบ่อยครั้งและกลายเป็นกลุ่มใหญ่มากขึ้น ทำให้มีคนต้องการใช้ตลอดเวลาและมูลค่าของมันก็เพิ่มขึ้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน

Cryptocurrency มีความแตกต่างกับสกุลเงิน Fiat หรือเป็นเงินปกติที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน โดยเงิน Fiat จะมีมูลค่าที่แท้จริงอยู่เพราะมันถูกผูกเข้ากับ “ทองคำ”  และเป็นสิ่งที่ผู้คนมองว่ามันมีมูลค่าแท้จริงและมีความต้องการสูง รวมถึงทุกคนก็ให้การยอมรับเมื่อเกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำให้มันมีมูลค่าขึ้น

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ตัวมันมีมูลค่าได้เพราะอะไรกันแน่

1. มันมีประโยชน์

สำหรับ Cryptocurrency หลายๆ สกุลที่ถูกสร้างขึ้นก็มักจะมีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินระหว่างประเทศ การลดค่าธรรมเนียมในการโอนเงินเป็นปริมาณมากๆ การโอนเงินที่รวดเร็วมากขึ้น รวมถึงการสร้างแอพพลิเคชั่นต่างๆ ตามเครือข่ายของ Blockchain นั้นๆ ได้กำหนด เมื่อมันมีคนใช้และต้องการอยู่แล้วมันก็มีประโยชน์ทำให้มันมีมูลค่าและคนให้การยอมรับได้

ในอนาคตจากการพัฒนาของแพลตฟอร์ม Blockchain ต่างๆ คาดว่าน่าจะทำประโยชน์และตอบโจทย์ในการใช้งานมากขึ้น อย่าง Ethereum ก็ได้เริ่มอัพเกรดเป็นเวอร์ชั่น 2.0 หรือ Cardano เองก็กำลังมีโปรเจค “Vasil” อยู่เหมือนกัน

2. เก็บสะสมเป็นทรัพย์สิน

ในต่างประเทศอย่างฝั่งยุโรปเองก็เคยมีแบบสำรวจเกี่ยวกับเรื่องการสะสมคริปโตด้วยเช่นกัน ก็มีหลายคนที่เลือกจะสะสม Cryptocurrency ไว้ในตัวด้วย เพราะมันสามารถรักษามูลค่ามันได้อยู่ตราบใดที่ยังมีความเชื่อมั่น โดยเฉพาะ Bitcoin ที่ถึงแม้ว่าจะมีความผันผวนสูงแต่มันก็ไม่ต่ำสุดภายใน 1 วันแน่นอนหากคนไม่เกิดหมดความเชื่อมั่น อย่างบางคนมองว่าหากเก็บสะสมเป็นเงิน Fiat เอาไว้แล้ววันหนึ่งอยู่ๆ เงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นเหมือนกับประเทศซิมบับเวหรือเวเนซุเอล่า มันก็อาจจะทำให้มูลค่าของเงินเหลือต่ำสุดๆ จนแม้จะซื้อน้ำ 1 ขวดเราต้องหอบเงินไปเป็นตั้งๆ เหมือนกับที่เราเคยเห็นในรูปก็ได้ แต่ทั้งนี้ในการสะสมอาจจะต้องเลือกสกุลเงินกันหน่อยย

3. มีความเป็นอิสระสูงและไม่ถูกใครควบคุม

ด้วยการที่ระบบของโลก Cryptocurrency มีแนวทางจุดยืนคือ “Decentralized” ที่ตัดเรื่องตัวกลางออกไป รวมถึงไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ทำให้มันเป็นอิสระไม่มีใครสามารถชี้บังคับได้ ยกเว้นแต่จะมีการร่วมกันพัฒนาระบบใหม่ๆ และใส่เพิ่มเติมเข้าไปในบล็อกนั้นๆ แต่ถึงแม้ว่าแนวคิดพื้นฐานของ Cryptocurrency จะเป็นระบบแบบ Decentralized แต่มันก็ยังต้องพึ่งพา Exchange ในการแลกเปลี่ยนออกมาเป็นเงิน Fiat อยู่ดี เพราะรัฐบาลหลายๆ ประเทศยังไม่ได้ให้การยอมรับและยังผิดกฎหมายอยู่หากนำมาใช้ชำระแทนเงิน จึงกลายเป็นข้อจำกัดในด้านการใข้งานระดับหนึ่ง

สรุป

สำหรับสกุลเงิน Cryptocurrency ทุกสกุลเงินก็ไม่ได้มีเพียงแค่ “ความเชื่อ” เข้ามาเกี่ยวข้องจนทำให้มันเกิดมูลค่าขึ้นมาเพียงอย่างเดียว แต่มันมีในเรื่องของการใช้งานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่ายังไงหากยังมี Demand หรือ Supply เกิดขึ้นอยู่ มันก็ทำให้เหรียญนั้นเกิดมูลค่าได้ไม่ยากเลย แต่มันก็จะมีความผันผวนสูงด้วยเช่นกันตามสภาพของตลาด Cryptocurrency

Cloud Mining คืออะไร ? ก่อนที่จะใช้ควรดูข้อมูลให้ดี

Cloud Mining คืออะไร ? ก่อนที่จะใช้ควรดูข้อมูลให้ดี

การขุดเหรียญ Crypto ปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีความเสื่อมความนิยมลงมากเท่าที่ควรนัก เนื่องจากว่าเหรียญบางเหรียญแม้ตอนนี้อาจจะดูมีมูลค่าน้อยแต่ในอนาคตมันก็ยังเติบโตได้อีกมาก ทำให้ตอนนี้หลายคนก็เริ่มมองหาเครื่องขุดไว้สำหรับขุดเหรียญเพื่อเก็งกำไรในอนาคตเพิ่มอยู่เรื่อยๆ โดยยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย และในการขุดเหรียญก็มีทั้งแบบที่เราซื้อ Rig หรือ Asics มาขุดเองก็ได้ หรือจะใช้แบบ Cloud Mining ในการขุดก็ได้ ในคลิปนี้เราจะพูดถึงเรื่อง Cloud Mining กัน มีความน่าสนใจไม่น้อย และมีความอันตรายมากเลยทีเดียวสำหรับมือใหม่ที่ต้องการขุดโดยเริ่มจาก Cloud Mining

Cloud Mining คืออะไร

Cloud Mining คือ การขุดเหรียญคริปโตโดยที่เราไม่ต้องมีอุปกรณ์การขุดใดๆ ทั้งสิ้น แต่คุณจะต้องไปซื้อแรงขุดกับคนที่มีอุปกรณ์ในการขุดเหรียญหรือเจ้าที่ให้บริการด้าน Cloud Mining โดยเฉพาะเพื่อที่เราจะได้ขุดเหรียญคริปโตตามที่เราต้องการ และสิ่งที่เราจะต้องมีเลยคือคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องไว้สำหรับการมอนิเตอร์โปรแกรมและกระเป๋าเงิน Crypto Wallet ไว้สำหรับรับเหรียญสกุลต่างๆ ที่เราต้องการขุด

โดยปัจจุบันก็มีผู้ให้บริการหลากหลายเจ้าด้านการขุดแบบ Cloud Mining โดยมีข้อดีอยู่หลายอย่างคือเราไม่ต้องมาฟังเสียงเครื่องขุด ไม่ต้องดูแลเองเมื่อเวลาเกิดปัญหา โดยฝั่งผู้ให้บริการจะเป็นผู้ดูแลให้กับคุณเอง คุณมีหน้าที่เพียงแค่จ่ายเงินตามสัญญาได้ระบุเอาไว้เพียงเท่านั้น และรอคอยผลตอบแทนจากการขุดไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบกำหนดสัญญา ด้วยความง่ายของมันแบบนี้ทำให้เกิดผู้ให้บริการ Cloud Mining ขึ้นมามากมายเต็มไปหมด ทำให้หลายคนเลือกไม่ถูกว่าจะใช้บริการเจ้าไหนดี

สิ่งที่ต้องระวังเมื่อทำ Cloud Mining

และด้วยการที่ Cloud Mining เป็นเหมือนกับบริการออนไลน์ทำให้เราไม่เห็นตัวตนที่แท้จริง ทำให้เกิดเจ้าที่ให้บริการด้าน Cloud Mining ปลอมๆ มากมาย ซึ่งปัจจุบันแทบจะเกือบทั้งหมดที่เป็นการหลอกลวงด้วยซ้ำ ทำให้มือใหม่หลายคนพลาดในการใช้บริการและสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก ลักษณะของเจ้าที่หลอกลวงส่วนใหญ่มักโฆษณาโอ้อวดว่าได้เปอร์เซ็นต์จากการขุดเยอะมากๆ และยิ่งชวนเพื่อนมาใช้บริการอีกก็จะได้ส่วนแบ่งจากการชวนเพิ่มอีก หลายคนเชื่อโฆษณาตรงนี้จนกลายเป็นเหยื่อมากมาย

แรกๆ ก็มีการปันผลให้เราอย่างดีสม่ำเสมอ รูปแบบคล้ายกับเราลงทุนการขุดทั่วไป พอเจ้าที่หลอกได้ยอดตามที่ต้องการแล้วก็ปิดหนีทันที ปัจจุบันก็มีวนลูปอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ แม้กระทั่งเจ้าใหญ่เองก็เคยมีเคสแบบนี้เกิดขึ้น เพราะถ้าแอดจำไม่ผิดเค้าเปิดทำ Cloud Mining แต่เหมือนจะได้กำไรไม่เพียงพอต่อความต้องการทำให้ต้องปิดตัวลงไป

สำหรับคนที่อยากทำแบบ Cloud Mining จริงๆ อาจจะต้องศึกษารายละเอียดให้ดี ทั้งการปันผล การขุด และผลตอบแทนที่จะได้รับว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะการขุดแบบนี้มีค่าใช้จ่ายที่จุกจิกอย่างมาก และเยอะพอสมควร หากไม่ได้ดูให้ดีอาจจะเข้าเนื้อเอาได้ รวมถึงการดูโปรไฟล์ของผู้ให้บริการด้วยว่ามีความน่าเชื่อถือหรือไม่ก่อนการลงทุนทุกครั้ง สำหรับแอดเองถ้าให้เลือกขุดแบบ Cloud Mining จริงๆ แอดก็คงจะใช้บริการของ Nicehash เพราะเค้าเปิดให้บริการมานานมาก ตั้งแต่การให้บริการรูปแบบนี้รุ่งเรืองจนกระทั่งตกต่ำลงก็ยังคงเปิดให้บริการอยู่จนถึงทุกวันนี้ ส่วนเจ้าอื่นๆ แอดยังไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก

ซื้อเครื่องขุดเอง VS Cloud Mining

ถ้าเกิดถามความเห็นของนักขุดเหรียญ Cryptocurrency แบบจริงๆ จังๆ แล้วเค้าจะเลือกแบบเอา Rig มาขุดเองที่บ้านดีแบบใช้ Cloud Mining ส่วน เพราะอย่างน้อยๆ เราก็มีอุปกรณ์อยู่กับตัวแน่นอนและไม่โดนโกง 100% แถมยังได้รับผลตอบแทนแบบเต็มๆ ไม่ต้องแบ่งหรือให้ค่าธรรมเนียมด้านอื่นๆ กับแพลตฟอร์มอีกด้วย หากเทียบกับการขุด Cloud Mining แล้วเราก็ไม่ต้องมานั่งระแวงว่าจะโดนโกงหรือไม่เพราะของก็อยู่กับเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราจะขุดเหรียญอะไรและเลือกจะใช้โปรแกรมเจ้าไหนในการขุด

สรุป

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนๆ ด้วยว่าถนัดแบบไหน เพราะมันก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป โดย Cloud Mining เริ่มต้นง่ายมาก และเงินลงทุนน้อยแต่ว่าเสี่ยงกับการโดนโกงเป็นอย่างยิ่งหากไม่พิจารณาให้ดี ส่วนฝั่ง Rig เองก็มีความเสี่ยงเรื่องขุดเหรียญหากไม่เลือกให้ดีก็อาจจะขาดทุนได้ แต่ทางที่ดีเพื่อความอุ่นใจและความปลอดภัยถ้าจะขุดเหรียญจริงๆ แอดก็แนะนำว่าประกอบ Rig เป็นของตัวเองจะดีที่สุด

เหตุผลที่คุณควรมีทั้ง Cold Wallet และ Hot Wallet คู่กัน

เหตุผลที่คุณควรมีทั้ง Cold Wallet และ Hot Wallet คู่กัน

ทุกคนต้องรู้จักถึงมูลค่าเหรียญ Cryptocurrency สกุลเงินต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะมันมีมูลค่าที่สามารถแลกเปลี่ยนไปมาระหว่างกันได้ และด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่ต้องการของกลุ่มแฮกเกอร์ต่างๆ ที่หมายมั่นจะเจาะเข้าระบบเพื่อขโมยเหรียญ Cryptocurrency หรือ Exchange ที่มีช่องโหว่อยู่เสมอ

โดยเฉพาะอย่างข่าวที่มีแฮกเกอร์โจมตีบริษัท Exchange หรือแม้กระทั่งโจมตี Blockchain โดยตรงจนทำให้สูญเงินหลายหมื่นล้าน แอดอยากให้ทุกคนรู้ไว้เลยว่าระบบบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรปลอดภัยแน่นอน 100% ทั้งนั้น ในวันนี้อาจจะยังไม่ถูกเจาะเข้ามาโจมตีได้ แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเราควรเริ่มต้นสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเองก่อน โดยเฉพาะสาย Cryptocurrency ที่ต้องป้องกันตัวมากเป็นพิเศษ เดียวคลิปนี้เราจะมาพูดถึงเหตุผลที่เราควรใช้ทั้ง Cold Wallet และ Hot Wallet กัน

เหตุผลที่คุณควรมีทั้ง Cold Wallet และ Hot Wallet คู่กัน (กดเลือกอ่านได้)

Crypto Wallet คืออะไร ?

ย้อนมาพูดถึง Crypto Wallet กันสักนิดเผื่อใครยังไม่รู้ว่าคืออะไร Crypto Wallet คือ กระเป๋าเงินสำหรับเก็บเหรียญ Cryptocurrency ภายในนั้นก็จะมีข้อมูลการทำธุรกรรมต่างๆ ของเราเก็บเอาไว้อยู่ พูดง่ายๆ เหมือนกับสมุดบัญชีธนาคาร และมันแบ่งได้อีก 2 ประเภทคือ Cold Wallet และ Hot Wallet

Cold Wallet คืออะไร ?

สำหรับเรื่อง Cold Wallet คือ กระเป๋าที่ใช้สำหรับเก็บเงิน Cryptocurrency ประเภทหนึ่ง แต่จะอยู่ในรูปแบบของ Hardware เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกันกับ Flash Drive ที่เราเห็นได้โดยทั่วไป แต่มันไว้สำหรับเก็บเงิน Cryptocurrency ซึ่งมีความปลอดภัยที่สูงอย่างมากหากเรารู้จักใช้งาน แต่ข้อเสียของมันก็คือถ้าเราลืมที่เก็บหรือทำมันหาย เท่ากับว่าเราสูญเสียเงินทั้งกระเป๋ากันเลยทีเดียว

จุดเด่นของ Cold Wallet คือการโจรกรรมข้อมูลออนไลน์จะทำได้ยากกว่า เพราะมันไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตแต่จะเชื่อมต่อกับคอมและโปรแกรมแทน สิ่งที่ต้องระวังคือการหายหรือลืมทิ้งไว้ และอีกอย่างที่ต้องระวังคือการโหลดโปรแกรมกระเป๋าเงินจากแหล่งที่ไม่รู้จัก มันเสี่ยงที่จะติดไวรัสและทำการขโมยเงินในกระเป๋าของเราได้

หน้าตาของ Hot Wallet จะคล้ายกับ Flash Drive ที่เราใช้

Hot Wallet คืออะไร ?

ส่วน Hot Wallet จะเป็นกระเป๋า Cryptocurrency อีกชนิดหนึ่งที่เก็บเงินได้เหมือนกัน แต่มักจะสร้างใน Exchange หรือผู้ให้บริการเกี่ยวกับกระเป๋าเงิน Wallet โดยเฉพาะมากกว่า ข้อดีคือมันมีการเชื่อมต่อตลอดเวลาทำให้เราสามารถถ่ายโอนเหรียญได้ตลอด 24 ชม แต่ข้อเสียเลยคือถ้า Exchange นั้นมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ไม่แข็งแกร่งมากพอก็เสี่ยงที่จะถูกโจมตีได้

จุดเด่นของ Hot Wallet คือ สะดวกทำธุรกรรม เพียงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็ทำธุรกรรมได้เลย แต่ต้องระวังเรื่องของการโจรกรรมข้อมูล คุณไม่ควรล็อกอินในคอมสาธารณะหรือสงสัยว่าคอมตัวนั้นติดไวรัส

Wallet Binance

ต้องบอกเลยว่าหลายคนด้วยความที่ไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายในการถ่ายโอนรวมถึงการรักษาอุปกรณ์ ทำให้เลือกที่จะเก็บเงินที่เดียวและเก็บเหรียญไว้เป็นปริมาณมหาศาล และส่วนมากจะเก็บกันไว้ใน Hot Wallet กันอีกด้วย ซึ่งตรงนี้มันก็มีหลายปัจจัยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากตัวเราเองและจากผู้ให้บริการโดนแฮกเกอร์โจมตี และเคสส่วนใหญ่ก็มักจะเกิดจากการที่เราเผลอไปดาวน์โหลดอะไรแปลกๆ หรือโดนเจาะเข้า email ที่ยืนยัน 2FA เอาไว้จนทำให้โดนแฮกได้

ถึงแม้ Exchange ที่มีบริการเกี่ยวกับด้าน Wallet จะมีความปลอดภัยขนาดไหน มี User ที่เชื่อมั่นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยังมีโอกาสถูกโจมตีได้ อย่างเคสของ Binance ที่ถูกแฮกเหรียญ Bitcoin ไปกว่า 1.2 พันล้านบาทก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และจะดีกว่าที่หากคุณเป็นคนติดตามข่าวสารก็มักจะได้ยินเรื่องของการถูกเจาะระบบบ่อยๆ นอกจากแพลตฟอร์มจะมีการป้องกันแล้ว ตัวเราเองก็ควรป้องกันด้วยเช่นกัน

ป้องกันการสูญเสียเหรียญทั้งหมดยังไง ?

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เราสูญเสียเหรียญไปทั้งหมด เราควรมีทั้ง Hot Wallet และ Cold Wallet ใช้งานควบคู่กันเพื่อไม่ให้เวลาโดนโจมตีเราจะต้องเสียเหรียญทั้งหมดไป หากคุณมีเหรียญเป็นจำนวนมากและจะดองไว้ยาวๆ เบื้องต้นก็อาจจะหา Cold Wallet ที่เป็น Hardware ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งมาเก็บไว้ก็ดี เดี๋ยวนี้ตัว Hardware ถูกมากและมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อด้วย และสำหรับคนที่เป็นสายดองเหรียญรวมถึงนักขุดเหรียญ Cryptocurrency ที่ยังไม่มีแพลนจะแลกเปลี่ยนก็มักจะสะสมเหรียญไว้ใน Cold Wallet เหมือนกัน เพราะอย่างน้อยๆ ตัว Private Key เราก็เป็นคนดูแลเอง และทรัพย์สินต่างๆ ก็อยู่ที่มือเราด้วยเช่นกัน

สำหรับ Hot Wallet ก็อาจจะเป็นที่เก็บเหรียญมูลค่าไม่สูงมาก หรือเป็นเหรียญที่มีการแลกเปลี่ยนบนกระดานบ่อยๆ ก็เก็บไว้ในนั้นได้เช่นกัน แต่อย่าลืมว่าคุณต้องไม่โหลดโปรแกรมแปลกๆ หรือคลิกลิงค์แปลกๆ จนแฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าคอมพิวเตอร์เราและสามารถขโมยรหัสไปได้ด้วย

สรุป

ถึงแม้ว่าโอกาสที่มันจะแฮกได้น้อยมากก็ตาม เราก็ควรกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะถึงแม้บางครั้งมูลค่าของมันไม่ได้มากมายอะไรแต่มันก็ยังเป็นสินทรัพย์ของเราอยู่ดี นอกจากนี้สายขุดเหรียญถ้าคิดจะขุดแล้วถือยาวๆ อย่างน้อยก็หา Hardware Wallet ไว้สักอันสำหรับป้องกันเหรียญของเราให้ปลอดภัยก็ดีเหมือนกัน ส่วนใครที่เป็นทั้งสายเทรดและสายดองถือยาวๆ แนะนำว่าให้ใช้คู่กันไปเลยจะดีที่สุด จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ “วัวหายล้อมคอก” ขึ้น

ขุดเหรียญได้เอาไปลงทุนอะไรดี ? ใช้กำไรทำงานแทนคุณ

ขุดเหรียญได้เอาไปลงทุนอะไรดี ? ใช้กำไรทำงานแทนคุณ

การขุดเหรียญคริปโตแน่นอนว่าเราจะต้องได้รับผลตอบแทนกลับมาชัวร์ ขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกจะขุดสกุลเงินไหนก็จะได้รับสกุลเงินนั้นตอบแทนกลับมา ซึ่งสิ่งที่เราได้รับนอกจากมันจะเป็นรายได้ที่มั่นคงแถมยังมีโอกาสจะแพงขึ้นอีกขึ้นอยู่กับค่าเงินช่วงนั้น เราสามารถเอามันมาต่อยอดทำกำไรและปล่อยให้มันทำงานแทนเราได้อีกหลายอย่างเลย แล้วถ้าเราขุดเหรียญได้จะเอาไปลงทุนอะไรดีล่ะ ?

1. นำไป Staking

การถือเหรียญ Cryptocurrency เราก็สามารถกินเงินปันผลได้ด้วยเช่นกัน ซึ่ง Staking บนโลก Crypto คือ การตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่เกิดขึ้น เป็นการตรวจสอบโดยที่เราวางเงินค้ำประกันและมีส่วนร่วมในการตรวจสอบเครือข่าย

ซึ่งการ Staking ก็จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแพลตฟอร์มที่รองรับการทำ Staking เมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งเราก็จะได้เงินปันผลกลับมา คล้ายกับเราเอาเงินไปฝากธนาคารแล้วได้ดอกเบี้ยกลับมา ซึ่งบน Binance เองก็มีเรื่อง Staking ให้บริการด้วยเช่นกัน

Staking Binance

บนเว็บของ Binance เองก็มีเหรียญให้เลือก Staking ด้วยเหมือนกัน

2. ไปต่อยอดด้านการเทรด Crypto

สำหรับบางคนที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องของการเทรดก็อาจจะขุดเหรียญและได้ผลตอบแทนมาแล้ว จากนั้นก็นำไปลงทุนโดยการเทรดต่อก็สามารถเพิ่มกำไรให้กับเราได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครต้องการเลือกลงทุนเหรียญไหนก็เอาเงินไปเทรดเหรียญนั้น สามารถเล่นเทรดได้ทั้งระยะสั้น ระยะยาว แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคนเลย

นอกจากเรื่องของเหรียญที่เราเลือกแล้ว เราก็ต้องรู้จักประเภทของเหรียญต่างๆ รวมถึงคุณอาจจะต้องระมัดระวังอย่างมากหากคิดจะเป็นสายเทรด เพราะความเสี่ยงสูงพอสมควร มันสามารถขึ้นสุดและลงสุดได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นควรศึกษาก่อนการลงทุนทุกครั้ง

Binance Exchange

กระดานเทรดจาก Binance

3. ถือเหรียญที่ขุดกันยาวๆ ไปเลย

แน่นอนว่าปัจจัยในการเลือกขุดเหรียญหลักๆ นอกจากความชอบแล้วยังมีในเรื่องของการเติบโตและมูลค่าของเหรียญที่เราจะขุดได้อีกด้วย หากเราได้อ่าน White Paper ที่จะบ่งบอกรายละเอียดเกี่ยวกับเหรียญนั้นๆ แล้วคุณวิเคราะห์ว่ามันสามารถเติบโตไปได้อีกเยอะอาจจะขุดมาแล้วถือไว้ยาวๆ ก็ได้

ไว้เมื่อมันได้กำไรตามที่คุณต้องการเมื่อไหร่ก็ค่อยขายทิ้งก็ได้ โดยเฉพาะอย่าง Bitcoin เหรียญที่คนนิยมขุดก็มักจะถือกันไว้เพราะมันยังไปได้อีกไกล ทำให้เมื่อเราได้ Bitcoin ตอบแทนกลับมาหลายคนเลือกจะถือไว้และรอขายในอนาคตในราคาที่ต้องการ

4. ลงทุนในความรู้

สิ่งที่เป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับการทำสิ่งต่างๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของ “ความรู้” เพราะมันจะช่วยให้เราต่อยอดในเรื่องต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลงทุน การทำธุรกิจ รวมถึงเรื่องที่เราสนใจอื่นๆ ก็ได้ ในเรื่องของการลงทุนในความรู้ถือว่ามีประโยชน์อย่างมากและไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน แม้กระทั่งกับ Warren Buffet นักลงทุนในตำนานที่ยังมีชีวิตยังแนะนำเรื่องของการลงทุนที่ถ้าใครสนใจจะลงทุนก็ให้ลงทุนในความรู้เป็นอันดับแรกๆ

5. ลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์

แน่นอนว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์อีกหนึ่งตัวที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้อย่างสบายๆ เพราะมูลค่ามันเพิ่มขึ้นได้ทุกปี นอกจากนี้ยังเก็บไว้ทำกำไรในอนาคตอาทิเช่น รอเกร็งกำไรในอนาคต เก็บไว้ปล่อยให้เช่าที่ดิน เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าลงไปกับอสังหาริมทรัพย์ก็ช่วยประกันความมั่งคั่งของเราได้ระดับหนึ่งเลย

6. ลงทุนกำลังการขุดเพิ่มขึ้น

เดิมกำลังการขุดบางคนอาจจะไม่เยอะมากเท่าที่ควร เมื่อได้กำไรและถึงจุดคืนทุนแล้วอาจจะมาเพิ่มกำลังการขุดด้วยก็ได้ เพราะอย่างน้อยๆ มันก็สามารถเพิ่มกำไรให้กับเราในอนาคตได้มากยิ่งขึ้น หากใครคิดไม่ออกว่าจะลงทุนอะไรเพิ่มเติมหากได้กำไรจากการขุดแล้ว การเพิ่มกำลังการขุดโดยการซื้อริกขุด Crypto เพิ่มก็เป็นอีกทางที่ดีไม่น้อยเลย

นอกจาก Rigmaxi จะมีบริการประกอบริกขุดแล้ว ยังมีบริการรับฝากวางเครื่องขุดอีกด้วย

สรุป

สำหรับเรื่องการลงทุนต่อยอดก็ยังมีอีกหลากหลายช่องทางให้คุณเลือกตามความถนัด หากใครชำนาญด้านการขุดอยู่แล้วก็อาจจะไปลงเรื่องกำลังการขุดเพิ่มเพื่อให้มันทำเงินให้เราได้มากขึ้น หากใครมองว่าการเก็บเหรียญพอแล้วอาจจะไปลงทุนอย่างอื่นๆ ก็ได้ขึ้นอยู่กับความชอบ

Bitcoin Halving คืออะไร ระบบของ Bitcoin ที่คุณควรจะรู้

Bitcoin Halving คืออะไร ระบบของ Bitcoin ที่คุณควรจะรู้

เหรียญ Cryptocurrency ที่มีความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของโลกคงหนีไม่พ้น Bitcoin เพราะเป็นเหรียญที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นเหรียญแรกของโลกและยังมีมูลค่าแพงที่สุดอีกด้วย การจะได้มันมาครอบครองก็ต้องผ่านการขุดหรือที่เรียกว่าการ “ตรวจสอบธุรกรรม” ที่เกิดขึ้นนั่นเอง ซึ่งใครสามารถสร้างบล็อกได้ก่อนก็จะได้รับผลตอบแทนเป็น Bitcoin กลับไป และเจ้า Bitcoin ก็มีอย่างจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ไม่สามารถสร้างเพิ่มเติมได้อีก เพราะอย่างนี้นี่เองถึงได้มีเรื่อง Bitcoin Halving เข้ามาช่วยไม่ให้มันหมดเร็วเกินไป แล้วมันคือระบบอะไร

ยุคแรกของการขุดเหรียญ Bitcoin

เกริ่นก่อนว่าจำนวน Bitcoin ที่สามารถขุดได้มีอยู่ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญเท่านั้น โดยเริ่มเปิดให้ขุดตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งยุคนั้นการได้มาซึ่ง Bitcoin ถือว่าง่ายเป็นอย่างมากเฉลี่ยได้ถึง 50 Bitcoin กันเลยทีเดียว ถ้าเกิดยุคนี้ขุดได้ขนาดนั้นคงกลายเป็นเศรษฐีกันแน่ๆ แต่น่าเสียดายที่ช่วงนั้นขุดได้เยอะก็จริง แต่มูลค่าของมันกลับน้อยนิดเพราะด้วยความหาง่าย รวมถึงการยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับมากนัก

แต่ด้วยจำนวนเหรียญที่จำกัด และจากการคาดการณ์ของ Satoshi Nakamoto ผู้ให้กำเนิดเหรียญ Bitcoin มองว่าถ้าเกิดเปิดให้ขุดแล้วได้รับผลตอบแทนที่สูงอย่างมากเรื่อยๆ ไปทุกวันแบบนี้อาจจะทำให้จำนวนเหรียญที่มีอยู่ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญหมดเร็วอย่างแน่นอน เพราะไม่นานหากมันได้รับการยอมรับก็จะถูกขุดไปหมดแน่ๆ จึงได้ใช้ระบบ Bitcoin Halving เข้ามาใช้กับเหรียญ Bitcoin

Bitcoin Halving คืออะไร ?

Bitcoin Halving คือ ระบบที่จะลดผลตอบแทนลงให้เหลือครึ่งเดียวเท่านั้นในทุกๆ 4 ปี พูดง่ายๆ ก็คือ หากวันนี้เราขุดได้ 50 Bitcoin ต่อบล็อก อีก 4 ปีข้างหน้าระบบ Bitcoin Halving ก็จะทำงานและลดผลตอบแทนเราให้เหลือครึ่งเดียวเท่านั้นนั่นก็คือ 25 Bitcoin ต่อบล็อก การใช้ระบบนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เหรียญหมดไวเกินไปนั่นเอง โดยล่าสุดมี Bitcoin หมุนเวียนในระบบอยู่ถึง 19.01 ล้านเหรียญ คิดเป็น 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ของจำนวน Bitcoin 21 ล้านเหรียญ

จำนวนเหรียญ Bitcoin

จำนวนเหรียญ Bitcoin จาก CoinMarketCap

Bitcoin Halving เกิดมาแล้วกี่ครั้ง ?

เหตุการณ์ที่ลดค่าตอบแทนของการขุดเหรียญ Bitcoin เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้ง

  • เมื่อปี 2012 ทำให้รางวัลการขุดจากบล็อกละ 50 Bitcoin เหลือเพียงแค่ 25 Bitcoin เท่านั้น
  • ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อปี 2016 จากบล็อกละ 25 Bitcoin เหลือเพียง 12.5 Bitcoin ต่อบล็อก
  • ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2020 จากบล็อกละ 12.5 Bitcoin เหลือเพียง 6.25 Bitcoin ต่อบล็อกเท่านั้น
  • ส่วนครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในปี 2024 จาก 6.25 Bitcoin ก็จะเหลือเพียงแค่ 3.125 Bitcoin ต่อบล็อก

เรื่องนี้ได้มีคนคาดการณ์เอาไว้ว่าหากเราต้องการขุด Bitcoin ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญที่ได้กำหนดเอาไว้ เราต้องใช้เวลาอีกราวๆ 119 ปี ถึงจะขุดได้ครบจนเหรียญสุดท้าย และด้วยการที่มีระบบ Bitcoin Halving เข้ามาด้วยนั้นคาดการณ์กันอีกว่าเหรียญ Bitcoin เหรียญสุดท้ายจะต้องใช้เวลาขุดมากถึง 40 ปีเลยทีเดียว

นอกจากเรื่องของ Bitcoin Halving แล้วยังมีเรื่องปัจจัยค่า Diff ที่ส่งผลต่อการขุดด้วยเช่นกัน ยิ่งคนขุดมากเท่าไหร่ โอกาสในการเกิดค่า Diff ก็สูงมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าหลายคนมองว่าขุด Bitcoin แล้วไม่คุ้มทุนก็จะค่อยๆ ย้ายไปขุดเหรียญอื่นๆ กันเอง และทำให้ค่า Diff ในการขุดไม่สูงมากและสามารถขุดได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน มันก็เป็นวัฏจักรวนกันไปเรื่อยๆ

Bitcoin Halving ส่งผลดีกว่าที่คิด

การที่มี Bitcoin Halving อยู่ในระบบจะส่งผลต่อการเกิดอุปสงค์และอุปทานในตลาดของ Bitcoin ขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของราคาเมื่อมีการ Halving แล้วก็จะทำให้ราคาดีดขึ้นไปอีก เนื่องจากว่าการขุดมันได้ผลตอบแทนลดลง แต่ในขณะเดียวกันความต้องการยังมีอยู่เท่าเดิมหรือเพิ่มมากขึ้นก็ส่งผลให้ราคาเหรียญของมันมักจะดีดขึ้นไปอย่างรุนแรงทุกครั้งจากสถิติที่ผ่านมา

Biticoin Halving ปี 2022

ราคา Bitcoin เดือนพฤษภาคมในช่วงที่เกิด Halving เมื่อปี 2020 จะเห็นได้ว่าหลังจากนั้นกราฟพุ่งสุดๆ

ในปี 2022 นี้จะรู้สึกได้เลยว่าตลาด Cryptocurrency ที่ไม่ใช่เฉพาะ Bitcoin เท่านั้น แต่ทุกเหรียญเกือบทั้งหมดราคาตกอย่างมาก ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED เอง รวมถึงการเกิดเงินเฟ้อทั่วโลก ทำให้หลายคนเริ่มชะลอการลงทุน และในตลาดคริปโตเองก็เกิดภาวะ “ตลาดหมี” ด้วยเช่นกัน ดังนั้นต้องวางแผนให้ดีสำหรับคนที่ลงทุน Cryptocurrency ไป

สรุป

สรุปเรื่อง Bitcoin Halving แบบง่ายๆ ก็คือ ระบบที่จะทำให้ได้รับผลตอบแทนลดลงทุกๆ 4 ปี ไปเรื่อยๆ จนกว่าเหรียญจะขุดได้ครบ ซึ่งเหรียญสุดท้ายที่คาดว่าจะขุดกันขึ้นมาได้ก็คือปี 2140 และใช้เวลาขุดถึง 40 ปีเลยทีเดียว

นอกจากนี้การ Halving ยังมีส่วนช่วยไม่ให้เหรียญถูกขุดออกมาง่ายเกินไปจนมันหมดมูลค่าของมัน รวมถึงการ Halving แต่ละครั้งที่ผ่านมาก็ทำ New High ใหม่ๆ ด้านราคาอยู่เสมอและไม่เคยต่ำกว่าราคาก่อน Halving  อีกด้วย หากใครคิดจะขุดก็ควรศึกษาให้รอบคอบก่อนขุดกันด้วยนะ