การขุดเหรียญคืออะไร ? มือใหม่สายขุดเข้าใจครบจบในที่เดียว

การขุดเหรียญคืออะไร ? มือใหม่สายขุดเข้าใจครบจบในที่เดียว

การขุดเหรียญหลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้กันอย่างแน่นอน เพราะในช่วงที่ผ่านมาคำๆ นี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งมีความสอดคล้องกับกระแส Cryptocurrency ที่มีคนให้ความสนใจกันทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่หันมาศึกษาเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง เมื่อเกิดกระแสขึ้นมาแล้วอีกสิ่งที่ตามมาคือ “การขุดเหรียญ” โดยจะเป็นการหาเหรียญคริปโตสกุลเงินต่างๆ อีกวิธีหนึ่งโดยใช้ Hardware ในการขุดโดยเฉพาะ ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกันว่าการขุดเหรียญคืออะไร และสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ Cryptocurrency ทั้งหมด

การขุดเหรียญคืออะไร ?

การขุดเหรียญคืออะไร

การถอดรหัสสมการทางคณิตศาสตร์โดยใช้ Hardware คอมพิวเตอร์มาช่วยคำนวณ เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม เมื่อแก้สมการสำเร็จจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญ (Coin) ที่เพิ่งขุด เป็นรางวัลตอบแทนที่คุณได้ลงแรงไป ซึ่งการขุดเหรียญครั้งแรกต้องย้อนกลับไปช่วงการกำเนิด Bitcoin ใหม่ๆ ที่ตอนนั้นชายนิรนามชื่อ “Satoshi Nakamoto” สร้างเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ได้สำเร็จเป็นตัวแรกของโลก

ทำให้ Satoshi ก็ได้เริ่มลงมือขุดเหรียญ Bitcoin ด้วยเช่นกัน ช่วงนั้นได้รางวัลสูงมากถึง 50 Bitcoin ต่อบล็อกเลยทีเดียว และต่อๆ มาเมื่อโลก Cryptocurrency ได้มีการพัฒนามากขึ้นก็ทำให้เกิดสกุลเงินใหม่ๆ ตามขึ้นมาอีกมากมาย และสามารถขุดได้เหมือนกับ Bitcoin ด้วย

คริปโตเคอเรนซี่ คืออะไร?

คริปโตคืออะไร

คริปโตเคอเรนซี่ คือ สกุลเงิน Digital ที่มีการเข้ารหัสการทำธุรกรรมผ่านระบบ “บล็อกเชน” สามารถใช้แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ระหว่างกันได้ และทำการซื้อ – ขายกันได้จริง คล้ายกับเงิน Fiat ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่มีความแตกต่างตรงที่ว่าเงิน Fiat จะเป็นระบบ Centralized กล่าวคือมีตัวกลางอย่างธนาคารหรือบุคคลที่เชื่อถือได้คอยเป็นตัวกลางในการโอนเงิน

แต่สำหรับ Cryptocurrency จะเป็นระบบ Decentralized ทำให้เราไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอีกต่อไป สามารถโอนเงินโอนเหรียญไปหาบุคคลอื่นๆ ได้แบบโดยตรง และตัวระบบก็มีความน่าเชื่อถือในตัวของมันอยู่แล้วจากการตรวจสอบธุรกรรมตลอดเวลาจากเครือข่ายและยืนยันความถูกต้องของทุกคน นอกจากนี้ยังไม่มีใครสามารถควบคุมหรือเป็นเจ้าของทั้งระบบได้ ทำให้คนเชื่อถือมันมากว่ามีความปลอดภัย โปร่งใสในระดับสูงเลย

เราจะขุดเหรียญได้ยังไง

ในการขุดเหรียญ Cryptocurrency จำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์อย่าง “Hardware” ในการขุดเหรียญ แต่จริงๆ แล้วมันสามารถใช้ Hardware ได้หลากหลายอย่างมาก ที่นิยมและเป็นสากลทั่วไปก็ได้แก่ CPU (ชิพประมวลผลคอมพิวเตอร์), GPU (การ์ดจอ), Asic เป็นหลัก แต่ที่นิยมมากที่สุดจะเป็นชุด Rig เพราะมันสามารถขุดได้หลากหลายอัลกอริทึ่มหลายเหรียญ

และยิ่งคนที่รับความเสี่ยงไม่ได้การใช้ Rig ขุดก็ถือว่าช่วยลดได้ในระดับหนึ่งเลย เพราะหากเหรียญที่เราขุดราคาตกเกินกว่าที่เราต้องการ เราก็แค่ย้ายไปขุดเหรียญคริปโตยอดนิยมอื่นๆ ก็เท่านั้น ง่ายๆ เลยสำหรับคนเริ่มต้นการขุดอาจจะต้องเตรียม

  1. พื้นที่จัดวางอุปกรณ์ในการขุดเหมือง จำเป็นต้องหาพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพราะขึ้นชื่อว่าอุปกรณ์ Hardware แล้วและยิ่งต้องเสียบไฟไว้ตลอดเวลา ทำให้เกิดความร้อนได้และเพื่อไม่ให้มันเสื่อมสภาพไวเกินไป
  2. มีชุดริกขุดหรืออุปกรณ์อื่นๆ สำหรับการขุด แต่ถ้าใครมองหาชุดเริ่มต้นการขุดลองไปดู Rig รุ่นแนะนำของเราก่อนได้เลย
  3. เลือก Software โปรแกรมขุดเหรียญ Cryptocurrency ปัจจุบันก็มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบปรับแต่งเองได้รวมถึงแบบสำเร็จรูปก็มี หรือถ้าคุณไม่ต้องการขุดเองก็ขายแรงขุดให้กับคนอื่นได้เช่นกัน
รีวิวโปรแกรม Hive OS

ตัวอย่าง Software ของ HiveOs

และนี่คือ 3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการเริ่มต้นขุด แต่ก่อนอื่นคุณจะต้องมีการศึกษาเหรียญที่ต้องการขุดจาก White Paper ของเหรียญด้วยนะ เพราะมันจะเป็นตัวบอกได้ว่าเหรียญนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ในอนาคตจะเป็นอย่างไร มันช่วยให้เราคาดการณ์ถึงแนวโน้มของเหรียญได้ในระดับหนึ่งเลย

Rig กับ Asic ต่างกันยังไง?

ริกกับ Asic ต่างยังไง

Rig คือการนำการ์ดจอที่มีการประมวลสูง มาประกอบเข้ากับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ใช้ขุดเหรียญได้หลายชนิด และมีอิสระในการขุดเหรียญมากกว่า ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเหรียญใดเหรียญหนึ่ง เหมาะอย่างมากสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อย เพราะด้วยสภาพตลาด Cryptocurrency มีความผันผวนสูงอย่างมาก ทำให้บางคนอาจจะรับความเสี่ยงตรงจุดนี้ไม่ไหว ในตัวเลือกของ Rig จะดูเหมาะกว่า

Asic เป็นเครื่องขุดเหรียญ ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับการขุดโดยเฉพาะ มีอัตราการขุดที่สูงกว่า Rig แต่จะกินไฟ เสียได้ง่าย และเลือกขุดเหรียญได้น้อย โดยสามารถขุดได้เฉพาะเหรียญที่สร้างด้วย Algorithm SHA-256 เท่านั้น และในตระกูลเหรียญ Crypto ที่สร้างด้วยอัลกอริทึ่มดังกล่าวมีน้อยนิดเท่านั้น

ไม่ใช่มีเพียงแค่ Rig กับ Asic เท่านั้นที่สามารถขุดได้ มันยังมีอุปกรณ์ในการขุดอีกมากมายขึ้นอยู่กับการดัดแปลงของแต่ละคนด้วย มีกระทั่งคนที่ใช้รถ Tesla ในการขุดก็มี (แอดเห็นข่าวแล้วอึ้งเลย)

เพื่อความเข้าใจมากขึ้น ลองอ่านบทความของ Rigmaxi เรื่อง Rig VS Asic มีความแตกต่างกันอย่างไร

เราจะทำเงินจากการขุดเหรียญได้ยังไง?

ขุดเหรียญคุ้มมั้ย

ในการขุดเหรียญ Cryptocurrency นั้นเราจะได้รับผลตอบแทนมาเป็นเหรียญที่เราขุด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราขุดเหรียญ Bitcoin แน่นอนว่าเหรียญที่เราได้ก็คือ Bitcoin กลับมา แต่บางเหรียญอาจจะให้เป็นพวก Transaction Fee หรือไม่เสียค่าทำธุรกรรมเมื่อได้ใช้งานเหรียญนั้น ซึ่ง Dogecoin เองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่สำหรับคนที่ขุดเหรียญและได้รางวัลกลับมาเป็นเหรียญสามารถแบ่งได้เป็นดังนี้

1. นำเหรียญที่ขุดมาได้แล้วนำไปแลกเปลี่ยนทันที

เหมาะกับคนที่ต้องการใช้เงินทันทีและไม่ได้เก็บไว้เพื่อเก็งกำไรเพื่อให้มันมีมูลค่ามากกว่าเดิมจากที่เราขุดมันมาได้

2. เก็บไว้เก็งกำไร

แน่นอนว่าด้วยตลาด Cryptocurrency ที่มีความผันผวนสูงทำให้ราคาของมันอาจจะขึ้นหรือลงก็ได้ขึ้นอยู่กับจังหวะช่วงเวลานั้นๆ รวมถึงสภาพของเศรษฐกิจเองก็ด้วย แต่ก็มีหลายคนที่ขุดเหรียญแล้วได้สะสมไว้ เมื่อถึงเวลาที่ได้ตามมูลค่าที่ต้องการก็ขายทิ้งทันที ทำให้เราได้กำไรเพิ่มมากขึ้นจากการขุดเหรียญด้วย

3. นำไป Staking ไว้

การทำ Staking ก็เป็นอีกหนี่งวิธีที่ได้รับความนิยมในหมู่นักขุดเป็นอย่างมาก เพราะมันเป็นการนำเหรียญที่เรามีไป Staking ไว้ โดยอาจจะไปไว้ใน Wallet หรือไม่ก็ Exchange ที่รองรับ และผลตอบแทนที่เราได้กลับมาคือ รางวัลหรือเหรียญสกุลต่างๆ ตามเงื่อนไขของการ Staking นั่นเอง ไว้เดียวแอดจะเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่อง Staking ไว้ให้อ่านเพื่อความเข้าใจกัน

รู้จักกับ Crypto Wallet ที่นักขุดต้องมี

สมัคร Crypto Wallet

ปกติเงิน Fiat (เงินที่เราใช้ปัจจุบัน) จำเป็นจะต้องมีการเก็บรักษาเงินภายในกระเป๋าตังของเรา หรือถ้าไม่เก็บไว้ในกระเป๋าตังก็เก็บไว้กับธนาคารเพื่อรักษาความปลอดภัยและไม่ให้ถูกขโมยจนเกิดความเสียหายกับทรัพย์สิน ซึ่ง Cryptocurrency เองก็มีกระเป๋าตังด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะนักขุดจำเป็นจะต้องมี “Crypto Wallet” เพื่อไว้เชื่อมต่อกับแหล่งขุดของเรา พอขุดมาปุ๊บรางวัลที่เราจะได้รับจะได้ถูกส่งเข้ากระเป๋าของเรานั่นเอง

สำหรับ Crypto Wallet นอกจากจะเชื่อมต่อกับโปรแกรมการขุดเหรียญของเราแล้ว มันยังทำหน้าที่เปรียบเสมือนกับ “กุญแจ” ใช้สำหรับไขเข้าไปเอาเงินในตู้เซฟของเรา ซึ่งภายในนั้นก็จะมีข้อมูลการทำธุรกรรมของเราไว้ด้วย

สำหรับตัว Crypto Wallet สามารถแบ่งอีกได้ 2 ประเภทคือ

Hot Wallet คือ กระเป๋าตังแบบออนไลน์ โดยจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เราเปิดคอมเปิดมือถือก็สามารถแลกเปลี่ยนเหรียญได้ทันที Real Time เลย เหมาะกับสายเทรดหรือคนที่ต้องการความสะดวกมากกว่า

Cold Wallet คือ อุปกรณ์ที่มีหน้าตาคล้ายกับ Flash Drive เป็นอุปกรณ์แบบ Hardware ทำหน้าที่เป็นเหมือนกระเป๋าตังเช่นกัน แต่ต้องโหลดโปรแกรมมาเชื่อมต่อเข้ากับกระเป๋าตังของเราเสียก่อนเพื่อให้เราโยกย้ายหรือแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นได้ มีความปลอดภัยสูง นักขุดเหรียญสายสะสมมักจะใช้ Cold Wallet กันเพื่อความปลอดภัย

วิธีการคำนวณค่าไฟเบื้องต้นในการขุดเหรียญ

ค่าไฟขุดเหรียญ

เมื่อคุณมีความสนใจเกี่ยวกับการขุดเหรียญ Cryptocurrency แน่นอนว่าการขุดก็ต้องมีเรื่องของไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยในการขุดเราจำเป็นจะต้องมีการคิดคำนวณค่าไฟและนำมาหักลบกับรายได้ที่เราได้รับ หากเราไม่มีการคิดคำนวณเลยก็อาจจะทำให้เราขาดทุนได้

ในการคิดคำนวณนั้นเราสามารถดูเรทค่าไฟได้จากเว็บของการไฟฟ้า เพราะราคาค่าไฟของรูปแบบบ้านแต่ละแบบก็มีความแตกต่างกันไป แต่วิธีการคิดเหมือนกัน

หากคุณดูเรื่อง Rig ที่ต้องการได้แล้วและอยากรู้วิธีการคำนวณค่าไฟ ลองอ่านบทความ แจกเคล็ดลับวิธีการคำนวณค่าไฟขุดเหรียญ Cryptocurrency ดูก่อน

Mindset ที่สำคัญ สำหรับนักขุด

เรื่องขุดเหรียญที่ต้องรู้

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดและคนที่ขุดอยู่แล้วรวมถึงคนที่คิดจะขุดเหรียญ Cryptocurrency จำเป็นจะต้องมี เพราะด้วยสภาพของตลาดที่มีความผันผวนสูงมาก ถ้าคุณไม่มีหลักให้ดีและไม่มีการหาข้อมูลรวมถึงการกำหนดแนวทางการขุดเป็นของตัวเองอาจจะทำให้เราขาดทุนจากการขุดได้ โดยหลักๆ Mindset ของนักขุดควรมีดังนี้

  1. มีการวางแผนการลงทุนอย่างเป็นระบบ
  2. บริหารความเสี่ยงอยู่เสมอ
  3. ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอด

ไม่ใช่แค่เพียงนักขุดอย่างเดียวเท่านั้น แม้กระทั่งสายเทรดรายวันเองก็ต้องมี Mindset ที่ดีเช่นกัน เพราะพวกเขาต้องวางแผนในการเข้าซื้อเหรียญ การขายเหรียญ ทำให้แต่ละวันมีความเสี่ยงสูง พวกเขาจึงมีการจัดการที่ดีอย่างมาก หากไม่มี Mindset เหล่านี้สิ่งที่ตามมาคือการ ติดดอยทันที

ถ้าอยากขุด ต้องทำยังไงบ้าง ?

เริ่มต้นขุดเหรียญคริปโต

ถ้าคุณอยากขุดเหรียญเองก็ไม่ยาก คุณจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ในการขุดเป็นของตัวเองเสียก่อน โดยเลือกระหว่าง Rig หรือเลือกจะเป็นแบบ Asic ดีขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ และอย่าลืมต้องศึกษาสกุลเงินที่ต้องการขุดทุกครั้ง เพราะแต่ละเหรียญมีการสร้างและการใช้งานที่แตกต่างกัน จุดมุ่งหมายไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าศึกษาเหรียญเดียวเหรียญอื่นๆ จะเหมือนกันหมด

ชุด Rig ที่ทาง Rigmaxi ประกอบขึ้นมาเอง

ในมุมของแอดเองชอบใช้แบบริกขุดมากกว่า เพราะว่ามันสามารถเลือกขุดเหรียญได้หลากหลาย และเมื่อเหรียญนึงราคาตกลงเราก็โยกไปเหรียญอื่นได้ ทำให้เราสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ในฝั่งของริกยังมีประกันที่ยาวนานกว่า ทำให้คลายความกังวลเรื่องอุปกรณ์มีปัญหาได้ในระดับหนึ่งเลย แต่ทั้งนี้ไม่ต้องเชื่อแอดทุกอย่าง ให้ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วเลือกในแบบที่ใช่สำหรับคุณดีกว่า

สรุป

การขุดเหรียญไม่ใช่เรื่องยาก แม้กระทั่งมือใหม่ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับตลาด Cryptocurrency เลยก็สามารถขุดได้เช่นกัน เพราะตัวมันไม่ได้มีความซับซ้อนยากมากมาย แต่ปัญหาคือสภาพของตลาดมากกว่ารวมถึงความเข้าใจวัตถุประสงค์ของแต่ละเหรียญที่เราต้องการขุด เพื่อให้เรามีความมั่นใจและได้นำข้อมูลตรงนั้นมาเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจที่จะขุดเหรียญ หากใครมีความสนใจข้อมูลเกี่ยวกับตัวริกว่ามันมีแรงขุดเท่าไหร่ ทำรายได้เท่าไหร่บ้างในเว็บของ Rigmaxi ได้เลย

Mindset ที่สำคัญสำหรับนักขุด ก่อนขุดคริปโตคุณควรจะรู้เป็นอย่างยิ่ง

Mindset ที่สำคัญสำหรับนักขุด ก่อนขุดคริปโตคุณควรจะรู้เป็นอย่างยิ่ง

ปัจจุบันการขุด Cryptocurrency ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง แถมไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย ทำให้เราได้เห็นทั้งเหล่าบริษัทมหาชนทั้งในและต่างประเทศต่างก็เริ่มลงทุนระบบขุดเหรียญกันมากยิ่งขึ้น หรือไม่ก็ซื้อเหรียญ Crypto สกุลเงินต่างๆ ที่พวกเขาสนใจเก็บไว้เป็นทรัพย์สินและสร้างรายได้ให้กับบริษัท

แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มเข้าสู่วงการการขุด Crypto คุณจำเป็นจะต้องหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญจะเจอได้บ่อยๆ คือ บางคนลงทุนปุ๊บจะต้องเห็นผลตอบแทนทันที ซึ่งบนโลกนี้ไม่มีธุรกิจใดที่สร้างมาวันนี้แล้วให้ผลตอบแทนได้ในวันพรุ่งนี้ได้ และนี่คือ Mindset ที่สำคัญสำหรับว่าก่อนเริ่มขุด Cryptocurrency จะต้องทำอะไรบ้าง

1. มีการวางแผนการลงทุนอย่างเป็นระบบ

ลงทุนคริปโต

การขุดเหรียญให้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่สำคัญเรื่องต่อมาคือ “เราจะนำเหรียญนั้นไปทำอะไรต่อ” สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละคน บางคนอาจจะวางแผนในการขายเหรียญวันต่อวัน เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือจ่ายค่าไฟ ซึ่่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่บางคนอาจจะสะสมเหรียญไว้หรือนำไป Staking (ฝากกินดอก) ไว้เพื่อรอวันที่เหรียญราคาพุ่งสูง แล้วค่อยนำเหรียญไปขายเพื่อทำกำไรได้เยอะ ก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการวางแผนระยะสั้นและระยะยาวของแต่ละคน ซึ่งก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างกันขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละคน

2. บริหารความเสี่ยงอยู่เสมอ

การลงทุนขุดด้วยริกนั้น มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่าการขุดด้วย Asic ตรงที่สามารถขุดได้หลายเหรียญ หากเหรียญที่เราขุดอยู่ขุดไม่ได้ ก็สามารถย้ายไปขุดที่เหรียญอื่นได้ต่อและยังสามารถขายเครื่องขุดต่อได้ในอนาคต

และแน่นอนว่าทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง แต่การที่เราไม่ลงทุนอะไรเลยนั้น “เสี่ยงกว่า” แต่ถ้าเรา รู้ความเสี่ยงของสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ และเราสามารถรับความเสี่ยงนั้นได้ ก็ถือว่าเป็นการลดความเสี่ยงไปได้

3. ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอด

อ่านบทความคริปโต

โลกคริปโตนั้นอาจจะเป็นเรื่องใหม่ของใครหลายๆคน แต่พื้นฐานเบื้องต้นนั้นสามารถเรียนรู้กันได้และเป็นสิ่งที่นักขุดควรจะมี เช่น เรื่องการเปิดกระเป๋าเงิน การดูค่าการทำงานการขุด การถอนเงินและการขายเหรียญ เพื่อให้เราสามารถบริหารจัดการเหรียญที่เรามีได้อย่างเหมาะสม

สรุป

ไม่ว่าจะสายเทรดหรือสายขุด ล้วนก็ต้องมีความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น เพราะมันเปรียบเสมือนกับพื้นฐานของนักลงทุนที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการลงทุน การบริหารความเสี่ยง และการศึกษาหาความรู้ ทุกตัวล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากนี้ใครที่มีความสนใจด้านการขุดเหรียญ Cryptocurrency คุณต้องจำไว้เลยว่าไม่ใช่ลงทุนวันนี้มันจะคืนกำไรได้ 1 อาทิตย์ เพราะตลาด Cryptocurrency มีความผันผวนอย่างมาก ตรงนี้ต้องเข้าใจก่อนการลงทุนทุกครั้ง

และอย่าลืมศึกษาข้อมูลของเหรียญแต่ละเหรียญรวมถึงการลงทุนทุกครั้ง เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง

Stable Coin สกุลเงินที่ถูกตรึงค่าไว้ให้ไม่ผันผวนเท่าเหรียญ Crypto อื่นๆ

Stable Coin สกุลเงินที่ถูกตรึงค่าไว้ให้ไม่ผันผวนเท่าเหรียญ Crypto อื่นๆ

สกุลเงินของ Cryptocurrency มีหลากหลายอย่างมากในปัจจุบัน มีอัตราการขึ้นลงที่แรงอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อความผันผวนของเหรียญ Crypto แต่ละเหรียญสูงมันก็ต้องมีสิ่งที่ตรงกันข้ามคือผันผวนต่ำ สามารถคงค่าเงินของมันได้ตลอดเวลา และสำหรับการแลกเปลี่ยนจากสกุลเงินหนึ่งไปอีกสกุลเงินหนึ่งหรือแม้กระทั่งการซื้องาน NFT เราก็จำเป็นจะต้องแลกจาก Stable Coin ไปเป็นสกุลเงินที่เค้าต้องการแลกเปลี่ยนอีกทีหนึ่ง มันมีบทบาทอย่างมากกับแนวคิดเงิน Digital แล้ว Stable Coin คืออะไร มีกี่ประเภทกันแน่ ??

Stable Coin สกุลเงินที่ถูกตรึงค่าไว้ให้ไม่ผันผวนเท่าเหรียญ Crypto อื่นๆ (กดอ่านเพิ่มเติม)

Stable Coin คืออะไร

Stable Coin ดียังไง

Stable Coin คือ สกุลเงินดิจิตอลชนิดหนึ่งที่มีอัตราการผันผวนน้อยมาก หรือคงที่ไว้ตลอดเวลา โดยเจ้า Stable Coin นี้จะมีการอ้างอิงมูลค่าของเหรียญตามประเภททรัพย์สินต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่าผู้สร้างจะเอาหลักทรัพย์อะไรมาค้ำประกันเพื่อให้มีมูลค่าเท่ากับมูลค่าเหรียญที่จะสร้าง นอกจากนี้ยังมีการควบคุมปริมาณของเหรียญด้วย Algorithm เพื่อให้มันรักษามูลค่าราคาเหรียญได้ตลอดเวลา และ Stable Coin นี้ยังมีการแบ่งประเภทของมูลค่าที่จะมาใช้รองรับมันด้วย มีอะไรบ้างเดียวมาดูไปพร้อมๆ กัน

Fiat Collateralized

เงิน Fiat

เป็นการสร้างเหรียญ Stable Coin ที่เบสิคอย่างมาก โดยจะนำมูลค่าของเหรียญ Stable Coin เข้ามาผูกกับทรัพย์สินหรือเงิน Fiat ไปฝากไว้กับใครสักคนที่มีความน่าเชื่อถือมากพอจากนั้นก็ทำการออกเหรียญ หรือแม้กระทั่งอ้างอิงจากค่าเงินต่างๆ ในปัจจุบันด้วยสกุลเงิน ดอลล่าร์ ยูโร ปอนด์ เป็นต้น

อย่างสกุลเงิน Tether USDT ที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาด Cryptocurrency ก็มีการอ้างอิงมูลค่ากับดอลล่าร์สหรัฐ แต่การทำ Stable Coin ด้วยเงิน Fiat นั้นจำเป็นต้องใช้ทุนมหาศาลทั้งการตรวจสอบ การดำเนินการที่โปร่งใส รวมถึงการหมุนเวียนของทรัพย์สิน นอกจากนี้ที่มันต้องอ้างอิงกับเงิน Fiat ก็แอบขัดกับหลักการของ Cryptocurrency อยู่ที่เมื่อถือสกุลเงิน Digital แล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางอีกต่อไป แต่ Stable Coin ประเภทนี้ยังคงต้องมีตัวกลางอยู่เหมือนเดิม

Commodify Collateralized

เป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ใช้สำหรับเป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกันให้กับ Stable Coin ไม่ว่าจะเป็นทองคำ บ้าน ที่ดิน น้ำมัน หรือทรัพย์สินพวกตราสารหนี้ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน มีความคล้ายกับ Fiat Collateralized อยู่พอสมควร เพราะจำเป็นต้องใช้ตัวกลางในการดูแลทรัพย์สินที่ค้ำประกันเพื่อแสดงความโปร่งใส และไว้สำหรับการแลกเปลี่ยนเหรียญกับมูลค่าสินทรัพย์ที่ค้ำประกันด้วย

สำหรับในเหรียญกลุ่มนี้อาจจะเป็นปัญหาในบางประเทศได้ เพราะแต่ละประเทศกฎหมายในด้านหลักทรัพย์นั้นก็ไม่ได้เหมือนกัน ทำให้อาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ แต่ทั้งนี้กฎหมายเกี่ยวกับด้าน Cryptocurrency ของหลายๆ ประเทศยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างชัดเจน ทำให้ปัญหาเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้น

Crypto Collateralized

Crypto Collateralized คือ

ประเภทนี้จะนำเหรียญ Cryptocurrency มาเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันมูลค่าของ Stable Coin เอาไว้ แต่ผู้สร้างจำเป็นจะต้องใส่มูลค่าของเหรียญ Crypto ให้มากกว่ามูลค่าของเหรียญ Stable Coin เนื่องจากว่าตัวเหรียญ Crypto มีความผันผวนที่สูงอย่างมาก

สำหรับระบบ Crypto Collateralized เป็นระบบที่ไม่ต้องใช้ตัวกลางใดๆ มาคอยควบคุมหรือแสดงความโปร่งใสทั้งสิ้น เพราะตัวมันมีความน่าเชื่อถือได้ด้วยตัวเอง แต่ประเภทนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมกันเท่าไหร่นัก

ข้อเสียอีกอย่างของเหรียญดังกล่าวคือหากใช้สินทรัพย์อย่าง Cryptocurrency มาค้ำประกันแล้ว ด้วยสภาวะตลาดดั้งเดิมคือไม่มีความมั่นคง มีการเปลี่ยนแปลงกันแทบจะทุกวินาที คุณสังเกตได้จากหลายๆ เหรียญที่บางครั้งพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง พออีก 10 นาทีลดต่ำลงมาแบบฮวบๆ เลยก็มี ก็อาจจะทำให้ Stable Coin ที่จัดอยู่ในประเภทนี้ไม่มีความมั่นคงเท่ากับประเภทที่ผูกกับเงิน Fiat

Non-Collateralized

ประเภทนี้ไม่มีสินทรัพย์อะไรสำหรับค้ำประกันตัว Stable Coin ทั้งนั้น ภาพรวมของระบบจะมีความคล้ายคลึงกับระบบ Fiat Money มากที่สุดที่เราใช้กันอยู่ โดยประเภทนี้จะใช้วิธีปรับลดดอกเบี้ยเหมือนกับเงินจริงๆ เพื่อให้มูลค่าของเหรียญนั้นคงที่อยู่ตลอดเวลาตามที่กำหนดเอาไว้

ในการถือเหรียญ Stable Coin ก็มีประโยชน์หลากหลายมากกว่าที่หลายคนคิด เพราะมันสามารถเป็นที่พักเงินหลังจากที่ตลาด Cryptocurrency ที่เราเข้าไปเล่นเกิดไม่นิ่ง มีความผันผวนสูง หรือแม้กระทั่งการใช้มันเชื่อมต่อการแลกเปลี่ยนสกุลเงินจริงกับสกุลเงิน Cryptocurrency ก็ยังได้และสามารถใข้งานได้ทุกแพลตฟอร์มเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสำหรับการเล่น Trade หรือแม้กระทั่งการซื้องานสะสม NFT ก็ใช้ Stable Coin ซื้อสกุลเงินที่แพลตฟอร์มนั้นต้องการก็ได้

เคสตัวอย่าง Stable Coin ที่เกิดผลกระทบต่อวงกว้าง

เป็นเคสที่สั่นสะเทือนไปทั้งตลาด Cryptocurrency และทั่วทั้งโลกเลยทีเดียวกับเหรียญ “LUNA” โดยเรื่องที่เกิดขึ้นคือราคาดิ่งมากถึง 90% ในอาทิตย์เดียว

โดยเหรียญ LUNA UST เป็นเหรียญ Stable Coin ที่มีการตรึงไว้กับดอลล่าร์สหรัฐ โดยมันจะถูกตรึงราคา (PEG) ให้มีมูลค่า 1$ อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ราคาเหรียญไม่มีความผันผวนหรือเปลี่ยนแปลง ทำให้มันเป็น Stable coin อย่างแท้จริง

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้น

หาก LUNA มีราคาอยู่ที่ 3 ดอลล่าร์สหรัฐ ก็จะผลิตเหรียญ UST ได้ 3 เหรียญ

หรือ LUNA มีราคาอยู่ที่ 20 ดอลล่าร์สหรัฐ ก็จะผลิตเหรียญ UST ได้ 20 เหรียญ

จะเห็นได้ว่าเหรียญจะราคาเท่าไหร่ก็ตาม ตัว UST ก็จะมีจำนวนเท่านั้น ซึ่งทำให้มูลค่าของเหรียญ LUNA อยู่ที่ 1$ ตลอดเวลา

.

ในการทำงานของ Stable Coin เพื่อให้มันอยู่ในราคา 1$ อยู่เสมอก็คือ

หากเหรียญ LUNA มีราคาสูงกว่า 1$ ก็จะทำการเผาเหรียญ LUNA ทิ้งและเพิ่มเหรียญ UST ขึ้นมา

หากเหรียญ LUNA มีราคาต่ำกว่า 1$ ก็จะทำการเผา UST ทิ้งและเพิ่มเหรียญ LUNA ขึ้นมาแทน

.

แต่สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้ได้เกิดเหตุการณ์วาฬเทขายเหรียญ UST กว่า 285 ล้านบาท ทำให้เกิดการหลุดการตรึงราคาขึ้น จาก Algorithm ของเหรียญเมื่อราคาหลุดต่ำกว่า 1$ ระบบก็จะทำการเพิ่มเหรียญ LUNA ขึ้นมา และด้วยการเพิ่มเหรียญขึ้นมานี่เองทำให้กราฟแดงทันที

นอกจากนี้ถึงแม้ว่าจะเพิ่มเหรียญ LUNA เข้ามาแล้วก็ยังไม่ได้ทำให้เหตุการณ์ราคาเป็น 1$ เท่าเดิม ทำให้นักลงทุนที่ถือเหรียญอยู่เริ่มมีความกังวลเกิดขึ้น จนทำให้เกิดการทยอยเทขายเพื่อไปถือเหรียญ Stable Coin ตัวอื่นแทน

.

แม้เจ้าของเหรียญอย่าง Do Kwan จะมีการออกมาแก้สถานการณ์ในช่วงนั้นก็ไม่ทำให้ดีขึ้นเท่าไหร่ เพราะเหตุการณ์ที่หลุด PEG ของ LUNA เกิดขึ้นเร็วจนหลายคนไม่ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว จนในที่สุดมูลค่าของเหรียญก็ไม่มีมูลค่าและล่มสลายไปในที่สุด

สรุป

แม้ฟังดูแล้ว Stable Coin จะมีความน่าสนใจมากๆ แต่มันก็มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือหลายประเภทไม่ได้จัดว่าเป็นระบบ Decentralized อย่างเต็มตัว เพราะว่ามันยังต้องอาศัยตัวกลางในการควบคุมความเสถียรและความสมดุลของค่าเงินอยู่ ทำให้ค่อนข้างมีความขัดกับหลักการของ Cryptocurrency ที่ต้องไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ต้องมาดูต่อกันในอนาคตว่าระบบ Stable Coin จะมีอะไรพัฒนาใหม่ๆ ให้เราได้เห็นบ้าง ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีความเสถียรมากกว่าปัจจุบันก็เป็นได้

ที่มาข้อมูลจาก Finomena.com

Satoshi Nakamoto บุคคลหรือกลุ่มคนลึกลับผู้อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของ Bitcoin

Satoshi Nakamoto บุคคลหรือกลุ่มคนลึกลับผู้อยู่เบื้องหลังการกำเนิดของ Bitcoin

เรียกได้ว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ Bitcoin ได้กลายเป็นเทรนด์ใหม่ยอดฮิตในวงการการลงทุนอย่าง Cryptocurrency กันเลยทีเดียว เหรียญตัวนี้ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากในเหล่านักลงทุนและคนรุ่นใหม่ซึ่งก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน

อาจจะเป็นเพราะว่าเจ้าเหรียญ Bitcoin ที่จับต้องไม่ได้เนี้ย เป็นเหรียญแรกของสกุลเงินดิจิทัลและบริษัทยักษ์ใหญ่ อย่างเช่น PayPal, Apple pay รวมถึง Tesla ก็สะดุดตากับสกุลเงินนี้และยอมรับให้เหรียญ Bitcoin กลายเป็นตัวกลางในการซื้อขายแทนเงินสดไปเรียบร้อยแล้ว

ว่าแต่…เจ้าเหรียญนี้ใครเป็นคนคิดค้นล่ะ หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักในชื่อของ  Satoshi Nakamoto  ในเพียงแค่นามแฝงเท่านั้น เขามีตัวตนจริง ๆ หรือไม่ หรือจริง ๆแล้วเป็นแค่ชื่อที่สร้างขึ้นมาเพื่อกลลวงเท่านั้น วันนี้แอดมินจะชวนทุกคนมารับบทเป็นโคนันตามหาจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่หายไปกันค่ะ

Satoshi Nakamoto ผู้คิดค้นเหรียญดิจิทัลทรงพลังที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ Bitcoin

หากคุณเป็นหนึ่งในสาวกสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin ละก็ คงจะเคยได้ยินชื่อ Satoshi Nakamoto มาอย่างแน่นอน  เขาถือเป็นบุคคลนิรนามผู้พัฒนา Bitcoin และเผยแพร่ออกสู่สาธารณะในปี 2008 อย่างไรก็ตาม ไม่กี่ปีหลังต่อจากนั้น เขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับ

สิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้ชาวโลกก็ดูเหมือนจะมีเพียงแค่นามแฝงอย่าง Satoshi Nakamoto เท่านั้น ชื่อที่จริง ๆ แล้วก็ยังไม่มีใครทราบตัวตนที่แท้จริงว่าเขาคือใคร การหายตัวไปของเขาต่างก็ทำให้มีหลาย ๆ คนที่อ้างตัวว่าเป็น Satoshi Nakamoto ผู้ที่คาดว่าครอบครอง Bitcoin มากกว่า 1 ล้าน Bitcoin ในบัญชีเลยทีเดียว

จุดกำเนิด Bitcoin

บิตคอยน์มาจากไหน

หากมองย้อนกลับไปในอดีต ปี 2008 สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤต “แฮมเบอร์เกอร์ สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่างเลห์แมน บราเธอร์ส ในอเมริกาประกาศล้มละลาย ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจระดับประเทศที่ได้แผ่วงกว้างไปยังหลาย ๆประเทศทั่วโลก

ราวกับ Domino Effect หรือที่มองให้เห็นภาพมากขึ้นก็คือ ถ้าหากโดนิโนตัวหนึ่งล้ม ตัวอื่น ๆ ก็จะล้มตาม ในสหรัฐอเมริกาช่วงนั้น ความเชื่อใจของประชาชนต่อระบบธนาคารค่อย ๆ หายไป ด้วยเหตุนี้ ทำให้มีกลุ่มคนหรือบุคคลนิรนาม “ Satoshi Nakamoto “ ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางวิกฤตที่ยากลำบากพร้อมกับเผยแพร่ Whitepaper บทความที่ได้อธิบายเกี่ยวกับ Bitcoin สกุลดิจิทัลเกี่ยวกับการทำงานและระบบของมัน

Whitepaper ของ Bitcoin โดย Satashi Nakamoto คืออะไร

สืบเนื่องมาจากวิกฤตครั้งยิ่งใหญ่ในอเมริกาที่แอดมินได้เล่าไปข้างต้นแล้ว Satoshi  Nakamoto ได้เขียน Whitepaper ในหัวข้อ Bitcoin : A Peer-to-Peer Electronic Cash System ขึ้นมา จริง ๆแล้วมันก็คือบทความที่ได้อธิบายเกี่ยวกับไอเดีย, จุดประสงค์, รวมถึงการทำงานของ Bitcoin ภายใต้การควบคุมของเทคโนโลยี Blockchain นั่นเอง

Satoshi Nakamoto มีแนวคิดที่จะให้คนทั่วไปสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ด้วยตัวเอง แบบ Peer-to-Peer โดยที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคารเป็นคนควบคุม หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงจากการรวมอำนาจไว้ที่คนใดคนหนึ่ง (Centralization) ให้กลายเป็นการกระจายอำนาจ (Decentralization) โดยไม่มีใครที่เหนือกว่าใครและไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้เหมือนกับที่เราถือเงินแบบปัจจุบัน (Fiat Money) นั่นเอง

White Paper Bitcoin

หน้าตา White Paper ของ Bitcoin

บุคคลที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็น Satoshi Nakamoto ใช่ Craig Wright หรือไม่?

แม้ว่าจะมีคนมากมายออกมาพิสูจน์ตัวตนว่าพวกเขาคือ Satoshi Nakamoto แต่ก็มีมากมายเช่นกันที่โดนฟ้องไปตาม ๆ กัน อย่างไรก็ตาม มีอยู่คนหนึ่งที่หลาย ๆ คนกำลังจับตามองและให้ความสนใจเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ  Craig Wright นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวออสเตรเลีย โดยนิตยาสาร Wired เล่าว่าเขาได้อ้างตนว่าคือผู้สร้าง Bitcoin ภายใต้ชื่อ Satoshi Nakamoto เขาได้แสดงบล็อกเก่า ๆ ที่พอจะพิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นผู้สร้าง Bitcoin รวมทั้งกุญแจเข้ารหัสที่เชื่อมต่อกับการทำธุรกิจของ Bitcoin

นอกเหนือจากนั้น  บทสัมภาษณ์ของ Gavin Andresen ยังดูท่าจะสนับสนุนข้ออ้างของ Craig Wright อีกด้วย Andresen ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเขาเคยพูดคุยทางอีเมล์กับ Satoshi Nakamoto มาก่อน และการสื่อสารทางอีเมล์กับ Craig Wright ทำให้เขารู้สึกว่าคนนี้แหละ คือ Satoshi Nakamoto คนที่เขาเคยได้ส่งอีเมล์ไปหา

ถึงแม้ว่าจะมีหลายหลักฐานที่ดูจะทำให้หลาย ๆ คนคล้อยตามและปักใจเชื่อ แต่ก็มีหลักฐานอีกมากมายที่ออกมาหักล้างข้ออ้างของชาวออสเตรเลียคนนี้  อย่างเช่น บล็อกที่เขาได้เขียนไว้มันดูจะล้าสมัยไปแล้ว

คนที่บอกว่าเป็น Satoshi Nakamoto

คุณ Craig Wright ผู้ที่บอกว่าตัวเองนี่แหละคือ Satoshi Nakamoto รูปจาก : Coindesk

สรุป

คำถามที่มีคนมากมายอยากรู้คำตอบว่า Satoshi ตัวจริงคือใครกันแน่

ถึงแม้ว่า Craig Wright จะออกมาพิสูจน์ตัวตนว่าเขาคือ Satoshi แต่หลักฐานก็ยังไม่หนักแน่นพอและไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่าเขาคือผู้พัฒนา Bitcoin ตัวจริงเสียงจริง แอดมินเชื่อว่าในอนาคตประเด็นยังไม่จบง่าย ๆ อาจจะมีหลักฐานมากมายมาสนับสนุนหรืออาจจะมีคนออกมาพิสูจน์ตัวตนว่าเป็น Satoshi อีกก็เป็นได้ ยังไงมาลุ้นกันนะคะ ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเปิดเผยเมื่อไหร่ จะเป็นใคร เป็นคนที่ผู้อ่านคิดไว้รึเปล่า มารอติดตามกันค่ะ

แจกเคล็ดลับวิธีการคำนวณค่าไฟขุดเหรียญ Cryptocurrency นักขุดทุกคนต้องรู้

แจกเคล็ดลับวิธีการคำนวณค่าไฟขุดเหรียญ Cryptocurrency นักขุดทุกคนต้องรู้

การขุด Cryptocurrency ที่เราใช้การ์ดจอในการขุดหรือไม่ก็ใช้ Asics ในการขุด เราก็ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานอยู่แล้ว เพื่อให้อุปกรณ์ทำงานต่อไปเรื่อยๆ ทีนี้สิ่งที่จะตามมาคือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเสียบปลั้กก็คือ “ค่าไฟ” นั่นเอง ในบทความนี้เราจะมาสอนคำนวณกันแบบง่ายๆ เพื่อให้เพื่อนๆ เอาไปใช้ประเมินค่าไฟที่จะเกิดขึ้นได้ว่าถ้าเราจะเอาไปขุดเหรียญแล้วมันจะคุ้มหรือไม่ ลองดูบทความนี้ก่อนเลย

ก่อนอื่นเลยในบทความนี้ทางเราจะขออ้างอิงค่าไฟจาก “การไฟฟ้า” โดยตรง ซึ่งบางทีแต่ละบ้านอาจจะมีราคาที่แตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น ที่พักอาศัยแบบอาคารทั่วไปที่มีการบวกเพิ่ม งั้นมาเข้าเรื่องกันเลยเดียวเราจะมาคำนวณค่าไฟในการขุดกันโดยใช้ค่ากลางจากการไฟฟ้านี่แหละ เพื่อทำให้ทุกคนเห็นภาพมากขึ้น

คำนวณค่าไฟ

อัตราการใช้งานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน

สำหรับบ้านเราการคิดค่าไฟจะเป็นแบบขั้นบันได ยิ่งใช้เยอะก็จะแพงมากขึ้นเป็นเรื่องปกติ โดยค่าไฟนั้นนอกจากจะคิดจากการที่เราขุดเหรียญ Cryptocurrency แล้วเราต้องมาคิดในเรื่องของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอีกด้วยว่าต่อเดือนปกติเราจ่ายอยู่ที่เท่าไหร่ และถ้าเราเพิ่มริกขุดเหรียญมาด้วยค่าไฟจะเท่าไหร่ นอกจากนี้ Rig กับ Asics มีความแตกต่างกัน รวมถึงอัตราการใช้ไฟก็แตกต่างกันด้วย ในบทความนี้จะเน้น Rig เป็นหลัก

หากดูจากตารางด้านบนค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4 บาทกว่าๆ แต่เราจะตีราคาเป็นหน่วยละ 4.5 บาท เพื่อให้ได้เป็นตัวเลขไว้หักลบกับค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกินมาด้วย เพราะถ้าเราตีเป็น 4 บาท แน่นอนว่าถ้าใช้เกินไปเยอะมันอาจจะเข้าเนื้อในเวลาที่เหรียญราคาตกหรือเหรียญที่เราขุดมีการเปลี่ยนแปลงขึ้น ดังนั้นในบทความนี้ขอตีวิธีการคำนวณค่าไฟที่ใช้สำหรับขุดเป็น 4.5 บาทละกัน

ในฝั่งของการ์ดจอเองแต่ละรุ่นก็ให้กำลังการขุดและใช้กำลังไฟที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งต้องไปดูอีกทีว่าแต่ละรุ่นจะใช้กำลังไฟเท่าไหร่ รวมถึงรายได้ต่อการขุดจะคุ้มหรือไม่ เดียวจะมีบทความแยกไว้เกี่ยวกับวิธีคิดรายได้ให้กับทุกท่านได้อ่านอีกครั้ง

สูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าเบื้องต้น

ริกกินไฟเยอะมั้ย

ก่อนที่เราจะไปคำนวณค่าไฟฟ้าในบ้านได้ เราจำเป็นต้องรู้ Watt ของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้นๆ ก่อน ซึ่งหากเป็นพวกการ์ดจอหรือริกขุดต่างๆ ในพวก Spec Sheet ย่อมระบุอยู่แล้วว่าการทำงานของมันใช้ไฟกี่วัตต์ งั้นเดียวมาดูสูตรกันก่อนเลย

การ์ดจอ RTX 3060 จำนวน 1 ใบ

มีกำลัง Watt อยู่ที่ 120 วัตต์ ทำตามสูตรเลย

120 วัตต์ x การ์ดจอ RTX 3060 1 ใบ ÷ 1000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้ (ขุด 24 ชม.) = หน่วยค่าไฟ x ราคาค่าไฟต่อหน่วย (กะไว้ที่ 4.5 บาท ตามที่เราได้อธิบายไว้)

120 x 1 ÷1000 x 24 = 2.76 หน่วย x 4.5 บาท = 12.96 บาท (ต้องคูณ Vat ด้วย 1.07 ตามข้อกำหนดการไฟฟ้าที่ยังไม่รวม Vat เข้าไปด้วยนะ)

การ์ดจอ RTX 3070 จำนวน 1 ใบ

มีกำลัง Watt อยู่ที่ 135 วัตต์ ทำตามสูตรเลย

135 วัตต์ x การ์ดจอ RTX 3070 1 ใบ ÷ 1000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้ (ขุด 24 ชม.) = หน่วยค่าไฟ x ราคาค่าไฟต่อหน่วย (กะไว้ที่ 4.5 บาท ตามที่เราได้อธิบายไว้)

135 x 1 ÷1000 x 24 = 3.24 หน่วย x 4.5 บาท = 14.58 บาท (ต้องคูณ Vat ด้วย 1.07 ตามข้อกำหนดการไฟฟ้าที่ยังไม่รวม Vat เข้าไป)

สูตรการคำนวณแบบเป็นชุดริก

ริกกินไฟเท่าไหร่

หากเพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านแล้วจัดเป็นเซ็ตริกในการขุด ก็จำเป็นต้องคิดจำนวนการ์ดจอที่อยู่กับริกของเราด้วย เช่น 3, 4, 6,8 ใบ ขึ้นอยู่กับขนาดริกของเพื่อนๆ และในการคิดค่าไฟของริกที่มีหลายการ์ดจอลองดูตัวอย่างข้างล่างก่อนได้เลย ที่สำคัญขนาดริกของแต่ละคนที่จัดก็ไม่เท่ากันด้วย ให้อ้างอิงจากความต้องการและจำนวนการ์ดจอที่จะใช้ต่อริก 1 ชุดดีกว่า

ริก 1 ชุดมีการ์ดจอ RTX 3070 จำนวน 4 ใบ

การ์ดจอ RTX 3070 มีกำลัง Watt อยู่ที่ 135 วัตต์ต่อใบ ทำตามสูตรเลย

135 วัตต์ x การ์ดจอ RTX 3070 4 ใบ ÷ 1000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้ (ขุด 24 ชม.) = หน่วยค่าไฟ x ราคาค่าไฟต่อหน่วย (กะไว้ที่ 4.5 บาท ตามที่เราได้อธิบายไว้)

135 x 4 ÷1000 x 24 = 12.96 หน่วย x 4.5 บาท = 58.32 บาท (ต้องคูณ Vat ด้วย 1.07 ตามข้อกำหนดการไฟฟ้าที่ยังไม่รวม Vat เข้าไป)

ริก 1 ชุดมีการ์ดจอ RTX 3070 จำนวน 6 ใบ

การ์ดจอ RTX 3070 มีกำลัง Watt อยู่ที่ 135 วัตต์ต่อใบ ทำตามสูตรเลย

135 วัตต์ x การ์ดจอ RTX 3070 4 ใบ ÷ 1000 x จำนวนชั่วโมงที่ใช้ (ขุด 24 ชม.) = หน่วยค่าไฟ x ราคาค่าไฟต่อหน่วย (กะไว้ที่ 4.5 บาท ตามที่เราได้อธิบายไว้)

135 x 6 ÷1000 x 24 = 19.44 หน่วย x 4.5 บาท = 87.48 บาท (คูณ Vat ด้วย 1.07 ตามข้อกำหนดการไฟฟ้าที่ยังไม่รวม Vat เข้าไป)

และนี่ก็คือการคำนวณค่าไฟเบื้องต้นสำหรับชุดริก อย่าลืมว่าในการขุดเหรียญ Crypto นอกจากเราจะมีริกหรือการ์ดจอแล้ว เราต้องมีพวก Power Supply Mainboard หรืออุปกรณ์ที่ต้องมีไฟเลี้ยงอื่นๆ ด้วยที่จะต้องเอามาคำนวณ และต้องเช็คด้วยว่าอุปกรณ์เหล่านั้นใช้ไฟกี่วัตต์เพื่อให้เราได้ตัวเลขแม่นยำขึ้น รวมถึงเราจะได้ประเมินด้วยว่าถ้าเราจัดริกมาสักชุดแล้ว ค่าไฟต่อเดือนจะคุ้มทุนหรือไม่

ข้อควรรู้เกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้า

ค่าไฟ rig

ที่สำคัญหลังจากเราได้ค่าไฟต่อวันแล้ว ข้อกำหนดเกี่ยวกับอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บยังไม่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไป หากเราได้ตัวเลขออกมาแล้วให้เรานำไปคูณ 1.07 อีกครั้งเพื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องจ่ายให้กับการไฟฟ้า ทีนี้เราก็จะได้ตัวเลขที่แท้จริงมาแล้ว

สำหรับคนที่ถามว่าขุดเหรียญ Cryptocurrency ตัวไหนดี แอดต้องตอบเลยว่าให้ขึ้นอยู่กับเหรียญที่เราชื่นชอบหรือเรารู้จักมันจะดีกว่า เพราะถ้าคุณไม่รู้จักและขุดสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่หาข้อมูลก็อาจจะขาดทุนได้เหมือนกัน

ทางลัดการคิดคำนวณค่าไฟขุดเหรียญ Cryptocurrency

หากใครดูสูตรแล้วไม่อยากคิดให้วุ่นวายปวดหัว สามารถเข้าไปใช้ตารางการคำนวณแบบคร่าวๆ ของเว็บ whattomine ได้เลย เพราะเว็บนี้จะมีตัวช่วยในการคำนวณค่าไฟ กำลังการขุดของเหรียญต่างๆ รวมถึงผลตอบแทนที่จะได้รับด้วย ถ้าเกิดคลิกลิงค์สีน้ำเงินด้านบนมันก็จะพาเรามาเจอกับหน้านี้

คำนวณค่าไฟ Rig

ในหน้านี้ก็จะมีให้เราเลือกรุ่นการ์ดจอ กำลังการขุดของเหรียญชนิดต่างๆ รวมถึงกำลัง Watt ของอุปกรณ์ที่เราเลือกด้วย เดียวจะพาไปดูทีละขั้นตอนเลยแล้วกัน

ส่วนแรกที่เราจะพาไปดูคือการเลือกรุ่นการ์ดจอ หากเราใช้รุ่นไหนหรือสนใจรุ่นไหนเราสามารถกดเลือกได้เลย และพิมพ์จำนวนการ์ดจอที่เราต้องการลงไปได้ ในรูปด้านล่างเราได้ลองเลือกเป็น RTX 3060 จำนวน 1 ใบก่อน

คำนวณค่าไฟการ์ดจอ

เมื่อเราเลือกเสร็จแล้วก็มาดูสกุลเงินด้านล่างว่าเราต้องการขุดเหรียญอะไร อย่างรูปด้านล่างสนใจเป็น Ethash ละกัน เราก็มาดูว่าเจ้าการ์ดจอ RTX 3060 เนี่ยมันมีกำลังการขุดอยู่ที่เท่าไหร่ และใช้ไฟกี่วัตต์ มันก็จะบอกเรามาให้ครบเลยคือ

– กำลังการขุด 35 MH/s

– กำลังไฟ 110 Watt

วิธีคำนวณค่าไฟขุดเหรียญ

ทีนี้เราดูเสร็จแล้วเราจะมาคำนวณกันว่าสุดท้ายแล้วค่าไฟอยู่ที่เท่าไหร่ ผลตอบแทนที่เราจะได้รับอยู่ที่เท่าไหร่โดยจะมาดูในส่วนของ Calculate ที่อยู่ด้านล่างกันเลย ในด้านของ Cost แอดได้แปลงหน่วยจาก 4.5 บาทไปเป็น USD เรียบร้อย ได้ออกมาอยู่ที่ 0.15 โดยประมาณ เพื่อนๆ สามารถเอาไปกรอกตามนี้ได้เลย จากนั้นก็กดปุ่ม Calculate

การคำนวนค่าไฟ

เมื่อเรากดคำนวณแล้วให้เราเลื่อนลงมาด้านล่าง มันจะบอกอัตราผลตอบแทนของแต่ละเหรียญเอาไว้ ซึ่งเดียวแอดจะมาอธิบายให้ในบทความหน้าว่าเราต้องดูอย่างไรรวมถึงเราจะขุดได้เงินวันละเท่าไหร่กัน อันนี้จะเป็นบทความไว้สำหรับคำนวณค่าไฟเพียงเท่านั้นนะ

กำไรขุดเหรียญ

สรุป

ก่อนที่คุณจะเริ่มลงทุนขุดเหรียญ Crpytocurrency คุณจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับการคำนวณค่าไฟในการขุดเหรียญด้วยเช่นกัน เพราะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญเกี่ยวกับรายได้ของคุณด้วย หากเราไม่ได้คำนวณไว้ก่อนหรือไม่ประเมินเอาไว้เลย เราอาจจะมีสิทธิ์ที่จะขาดทุนเพราะค่าไฟได้ด้วยเช่นกัน

Crypto Wallet คืออะไร ? ของที่ต้องมีก่อนเริ่มขุดหรือเริ่มเทรด

Crypto Wallet คืออะไร ? ของที่ต้องมีก่อนเริ่มขุดหรือเริ่มเทรด

ด้วยกระแส Cryptocurrency ที่มาแรงอย่างมากในปัจจุบัน ทำให้หลายคนเริ่มมีความสนใจในด้านการเทรดหรือแม้กระทั่งการขุด Cryptocurrency ขึ้น จะเห็นได้ว่าโดยเฉพาะเรื่องของการขุดเหมืองที่มีความนิยมจนทำให้ “การ์ดจอ” รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเริ่มขาดตลาดเพราะมีคนซื้อไปขุดกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก่อนที่เราจะเริ่มขุดได้นั้นเราก็จำเป็นจะต้องมี “Crypto Wallet” ก่อน ซึ่งเปรียบเสมือนกับสมุดบัญชีธนาคารเรานี่เอง

Crypto Wallet คืออะไร ? ของที่ต้องมีก่อนเริ่มขุดหรือเริ่มเทรด (ยาวไปเลือกอ่าน)

Crypto Wallet คืออะไร

Crypto Wallet คืออะไร

Crypto Wallet คือ กระเป๋าเงินสำหรับเก็บเหรียญ Cryptocurrency ถึงแม้ว่าจะเรียกว่ากระเป๋าเงินก็ตามที แต่มันก็เปรียบเหมือนกับ “กุญแจ” ที่ใช้สำหรับการไขเข้าไปเอาเงินภายในตู้เซฟของเรา ตัว Crypto Wallet จะเป็นเหมือนกับกล่องที่คอยเก็บกุญแจที่มีชื่อว่า “Private Key” เอาไว้ ภายในนั้นก็จะมีสมุดบัญชี ข้อมูลการทำธุรกรรมต่างๆ ของเราเก็บเอาไว้อยู่

ซึ่งหากเราเกิดการทำธุรกรรมขึ้น ระบบก็จะมีการตรวจสอบ Private Key ของเราเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของหรือการทำธุรกรรมบน Blockchain โดยมันจะเป็นรหัสที่ผสมอักษรภาษาอังกฤษและตัวเลขไว้ด้วยกัน และด้วยการที่มันชื่อว่า Private Key ก็ตรงตามตัวเลยคือ เป็นกุญแจส่วนตัวที่เรารู้คนเดียวเท่านั้น หากมีคนอื่นรู้หรือหลุดไปยังคนอื่นก็อาจจะถูกขโมยทรัพย์สินได้

ประเภทของ Crypto Wallet

ประเภท crypto wallet

Crypto Wallet ยังสามารถแบ่งย่อยไปได้อีกในการเก็บ Private Key แบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยเราจะรู้จักกันในชื่อของ Hot Wallet และ Cold Wallet และมันก็มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเรื่องของการใช้งาน และการรักษาความปลอดภัยที่แตกต่างกันอีกด้วย ขึ้นอยู่กับว่าใครสะดวกแบบไหนและนิยมใช้อะไรมากที่สุดก็เลือกแบบนั้นไป

Hot Wallet

Hot Wallet

ความหมายของมันไม่ใช่กระเป๋าร้อนแต่อย่างใด ความหมายของมันก็คือ กระเป๋าเงินในรูปแบบของ Digital ที่พร้อมจะเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้อยู่ตลอดเวลา ใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมงและมีความสะดวกอย่างมาก แน่นอนว่าเมื่อมันเป็นแบบออนไลน์แล้วมันก็จะใช้งานได้บน Exchange เจ้าต่างๆ ที่เค้าจะคอยดูแลความปลอดภัยให้ การใช้งานบนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน รวมถึง Desktop Application Wallet ด้วยเช่นกัน เหมาะกับคนที่ต้องใช้งานตลอดเวลาและใช้งานบ่อยครั้ง มีความสะดวก ใช้งานง่ายเหมือนพวกแอพธนาคารเลย

Cold Wallet

Cold Wallet

เป็นกระเป๋าเงินอีกชนิดหนึ่งที่จะอยู่ในรูปแบบของอุปกรณ์หรือ Hardware เป็นหลัก ไม่ได้มีการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต โดยลักษณะของ Cold Wallet ก็จะมี 2 แบบคือ อุปกรณ์สำหรับเก็บ Wallet Address และ Private Key ไว้ในตัวอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนกับ Flash Drive เลย ซึ่ง Hardware ยี่ห้อที่นิยมใช้หลักๆ จะมี 2 ยี่ห้อคือ Trezor และ Ledger

ส่วน Cold Wallet อีกแบบคือการจดลงในกระดาษด้วยวิธีแบบ Basic หรือไม่ก็ทำแบบ QR Code ที่เมื่อเราจะใช้งานก็สามารถสแกนเข้าไปได้เลยทันที

ซึ่งทั้งแบบ Hardware, กระดาษ, QR Code ถึงแม้มันจะมีความปลอดภัยมากกว่าแบบ Hot Wallet รวมถึงเก็บทรัพย์สินได้หลากหลายชนิด แต่มันก็มีข้อเสียคือถ้าหายแล้วเราไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย โดยเคสแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศที่ชายคนหนึ่งได้จดใส่กระดาษเอาไว้ปรากฏว่าพอจะใช้งานหาไม่เจอ ภายในนั้นมี Bitcoin ประมาณ 7000 กว่าเหรียญหรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

สรุป

หากคุณจะเริ่มเข้าไปลงทุนด้าน Cryptocurrency หรือเริ่มที่จะขุดเหรียญ Cryptocurrency เป็นของตัวเอง ก่อนอื่นเลยก็ให้ไปเปิด Crypto Wallet ตามแบบที่ตัวเองสะดวกก่อน เพราะมันจะเป็นเหมือนตัวกลางให้เราสามารถยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมได้ และเรื่องตัว Crypto Wallet ทุกแบบก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าพฤติกรรมการใช้งาน Cryptocurrency ของคุณเป็นอย่างไรก็เลือกอันที่เหมาะสม

สุดท้ายแล้วการลงทุนด้าน Cryptocurrency มีความเสี่ยง ดังนั้นควรอ่านรายละเอียดและศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนเริ่มจะลงทุนทุกครั้ง